ลดขยะที่ใจ .. ลดขยะที่กาย ลดขยะให้โลก

“มีขยะไหมคะ” เด็กน้อยตัวจิ๋วร่างปุ๊กลุกขนาดกอดกำลังพอดี สูงไม่เกินห้าสิบเซ็นติเมตร

กึ่งเดินกึ่งลากถุงพลาสติกใสถามไถ่ขอขยะจากพ่อค้าแม่ค้า ไปทั่วตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ณ สวนครูองุ่น

 

หากสังเกตด้วยตาเปล่า ปลายถุงพลาสติกใสบรรจุแก้วพลาสติก ขวดน้ำดื่ม ไว้เพียงเล็กน้อย

 

เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เข้ามาเยี่ยมเยียน ซื้อขายในพื้นที่นี้ กว่าหลายร้อยคนต่อวัน

จำนวนขยะที่เหลือให้เห็น ก็เรียกว่าน้อยนิด จนพิจารณาได้ว่ามีขยะกี่ชนิด และจำนวนกี่ชิ้นกี่ใบ

ส่งผลให้การคัดแยกประเภทขยะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง ทุกอย่างก็เสร็จสรรพ

 

ชีวิตของทีมงานเบื้องหลังเมื่อจบงานมหกรรมแห่งผู้คนหลากชนชั้นวัฒนธรรม

จึงลดความเหนื่อยล้า เหนื่อยใจ และมีความสุขขึ้นอีกมากโข ..

 

อาจเป็นงานแรกๆ ที่มีการจัดเตรียมพื้นที่ให้กะละมังสำหรับล้างถ้วยล้างจาน แถมยังถูกบรรจุที่ทางไว้ในแผนผังงานอย่างจริงจัง

 

ด้วยความตั้งใจเดียวอันแน่วแน่ในการเปิดตัวตลาดนัด อาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ในเมืองใหญ่

คือ “ตั้งใจ” ให้เป็นตลาดที่ปลอดจากขยะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม..แต่ด้วยความไม่เคยชิน

เมื่องานจบลง จึงยังมีขยะหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง…แต่ก็ถือว่าน้อยมากแล้วในความทรงจำ

 

ด้วยครูองุ่น มาลิก แบ่งปันพื้นที่สวนในบ้านให้เป็นพื้นที่สาธารณะ เป็นสวนสวยที่มีจิตใจกว้างขวาง..

เปิดรับทุกผู้คนด้วยความเมตตา เป็นมิตร และไม่เลือกชนชั้นสูงต่ำ ดำขาว

 

ไยคนแปลกหน้า..ที่มาขออาศัยร่มเงาอันร่มเย็นเช่นพวกเราจะไม่ให้การเคารพในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ห้องน้ำห้องท่า ถูกจัดเวรทำความสะอาดทุกชั่วโมง ด้วยสัญญาใจต่อกันของทุกร้านค้า ที่ต้องทำหน้าที่สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำความสะอาดเหมือนดั่งบ้านของตัวเอง เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ

ให้สวนยังคงความสะอาดเหมือนเดิม ก่อนที่ทุกคนจะเหยียบย่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่คณะรักเร่ทุกคนกล่าวย้ำตรงกัน  ณ วันแรกที่รู้ว่า สวนครูองุ่นคือจุดหมายปลายทางของการเร่ในครั้งต่อไป..

 

ก่อนเริ่มงานหน้าเพจหนูโจ อาร์ตแอนด์ ฟาร์ม เชิญชวนให้ทุกคนหันมาใส่ใจและรับผิดชอบในตัวเอง

โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การคิดค้นวิธีลดขยะ ก่อนพาตัวเองมาถึงตลาด

 

เป็นการทบทวนตัวเองอย่างง่ายๆ ก่อนออกจากบ้าน ต้องพกขวดน้ำ กล่องข้าวและถุงผ้า ถ้าหากถูกใจผลิตภัณฑ์ชิ้นไหน ต้องไม่เรียกร้องขอถุงบรรจุภัณฑ์ และพร้อมที่รับข้าวของเหล่านั้น มาเก็บไว้ในถุงผ้าหรือภาชนะที่เตรียมมาด้วยความเต็มใจ ร้านค้าก็เช่นกัน ทั้งผลิตภัณฑ์และหีบห่อต้องก่อให้เกิดประโยชน์และสามารถใช้ซ้ำได้ไม่รบกวนธรรมชาติจนเกินพอดี

 

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลงลืมพกขยะเข้ามาในงาน ลูกค้าทุกคนสามารถส่งคืนขยะของคุณฝากไว้กับพ่อค้าแม่ค้า

ที่เป็นเช่นนี้..เพื่อฝึกการคิดถึงคนอื่น และเพื่อให้เกิดจิตสำนึกว่า ขยะนั้นเป็นภาระที่ผู้อื่นต้องแบกรับแทนเรา

และนั่นคือความจริง และความเป็นจริงที่มากกว่านั้นคือธรรมชาติและโลกกำลังเป็นผู้แบกรับภาระเหล่านี้อยู่ด้วยความไม่เต็มใจ

 

“การลดขยะ” จึงต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน ผ่านการฉุกคิดและทบทวน ด้วยจิตใจอันละเอียดอ่อนต่อขยะหนึ่งชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือเรา นำไปสู่การปฏิบัติที่กาย ให้กายคุ้นชินกับการไม่ทิ้งอะไรง่ายๆออกจากมือ และคำนึงถึงผลที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่นและโลก

 

ให้ขยะหนึ่งชิ้นสอนชีวิตให้รู้จักการใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่ามากที่สุด

 

ให้การทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีคุณค่ามากกว่าแค่การทำให้สูญหายไปเมื่อหมดคุณค่า

 

และเพื่อทำความรู้จักกับวัฒนธรรมแห่งการไม่ผลิตขยะเพิ่ม จนกลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันเฉกเช่น การแปรงฟัน

อาบน้ำและส่องกระจก

 

เพื่อให้ “แฟชั่นแห่งการรับผิดชอบในตัวเอง” เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และสร้างแก่นแท้แห่งชีวิตของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคน สัตว์ ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล ผืนดิน และพลาสติก อย่างสมดุลและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

 

“ตลาดปลอดขยะ”  จึงเป็นเพียงการเริ่มต้นในการสร้างพื้นที่ทดลองเพื่อปลอบประโลมโลกที่หนักอึ้งให้คลายความกังวลลงบ้าง ดีที่สุดแล้วเท่าที่มนุษย์หลายร้อยคนในพื้นที่  250 ตารางวา ตลอดระยะสองวันจะทำได้..

 

Share Button

ชีวิตนั้นสัมพันธ์..ผู้คน ฟ้าฝนและเสียงดนตรี

เรียนครูองุ่น มาลิก ที่เคารพ

 

ครั้นเมื่อเจตนารมณ์ของครูองุ่น มาลิก พัดปลิวไปไกลถึงสมุทรสงคราม ..

หมุดหมายของการใช้ชีวิตของพวกเราจึงไม่จำกัดอยู่แค่เพียงกิน อยู่และหลับนอน ใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลเมือง

ในฐานะคณะผู้จัดทำชีวิตให้สัมพันธ์กับธรรมชาติและศิลปะ นามหนู โจ อาร์ตแอนด์ฟาร์ม เราไม่เคยเดียวดาย

 

วันหนึ่งขณะเร่ขายของเพื่อทดลองใช้ชีวิตหากินชั่วคราวข้างถนน ท่ามกลางแดดร้อนและเพื่อนพ้อง

พลันความคิดเรื่องการเร่เข้าเมืองหลวงก็ทรงอิทธิพลจนทุกคนอดใจไม่ไหว

รายชื่อถนนในเมืองถูกนำเสนอไม่ขาดสาย ..ไม่มีที่ทางใดสะดุดใจเท่ากับ “สวนครูองุ่น”

กลางทุ่งคอนกรีตแห่งเมืองทองหล่อ .. พื้นที่ทุกตารางนิ้วแพงระยับ..เรารู้ดี

 

ข้าวของทำมือ งานศิลปะ ผ้าผ่อนหม่อนไหม ผู้คน พ่อค้าแม่ขาย

ปรากฏกายบนพื้นที่สีเขียวในภาพฝันตอนกลางวันแดดจ้า

หากทุกอย่างเป็นความจริง..ชีวิตคงไม่สำคัญไว้เพียงแค่ข้างทางอย่างใจคิด

 

ไม่นานเกินรอ .. เมื่อมูลนิธิกระจกเงา ในฐานะผู้รับดูแลสวนครูองุ่นตอบรับคณะรักเร่หนูโจ อย่างเป็นทางการ

การประกาศเจตนารมณ์หาเพื่อนร่วมทางจึงเกิดขึ้น..

เพียงชั่วข้ามคืนห้างร้าน แลผู้คนอันมีใจปรารถนาในสิ่งเดียวกัน

ส่งจดหมายสมัครออนไลน์แบบล้นหลาม มากกว่าครั้งไหนๆเป็นประวัติการณ์

เพราะกติกาการใช้ชีวิตสัมพันธ์ไม่ได้มีรูปแบบเพียงการขายเพื่อที่จะขาย..

แต่แฝงกุศโลบายเพื่อให้ทุกคนเคารพ เรียนรู้ และแบ่งปันลมหายใจให้กับทุกสรรพสิ่ง

 

และ “สวนครูองุ่น” ทำหน้าที่รองรับทุกจังหวะของลมหายใจอันหลากหลายได้อย่างกลมกลืน

โดยมีทุกคนเป็นผู้บรรเลง

 

ถึงแม้ว่าฝนฟ้าจะไม่เป็นใจตอนเที่ยงวัน สิบนาทีที่ทุกคนยืนหลบฝนในร่มคันเดียวกัน..

มันลดทอนความละโมบโลภมาก และการคิดถึงเป้าหมายอันเรียกว่ากำไร ขาดทุน

เราทุกคนเชื่อว่า..ครูองุ่นใช้ธรรมชาติวัดใจเราและสอนให้เว้นว่างจากการค้าขายเพื่อเรียนรู้โลกของเพื่อนที่เปิดร้านอยู่เคียงข้าง

 

และเราตระหนักร่วมกันแล้วว่าบนพื้นที่ 250 ตารางวา บรรจุสังคมอุดมคติที่ครูพยายามสร้างไว้ และพิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นว่า “การให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นเป็นเรื่องจริง

 

ร้านรวงกว่าเจ็ดสิบร้าน เปิดตลาดกันแต่เช้าตรู่ เริ่มต้นบทเพลงแห่งชีวิตสัมพันธ์ด้วยรอยยิ้ม

และจบบทเพลงด้วยประโยคสุดท้าย.. “ต้นไม้งาม คนงดงาม งามน้ำใจ ไหลเป็นสายธาร ชุบชีวิต ทุกฝ่ายเบิกบานมีคน มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า”  พลันกระรอกตัวน้อย ตัวแทนสัตว์ป่าคอนกรีตกระโดดจากกิ่งไม้ไปยังหลังคาเวทีเหมือนนัดหมายกันไว้

 

เย็นมากแล้วแต่เสียงเพลงแห่งชีวิตยังดำเนินต่อไปตามท่วงทำนองเพลงกลองยาว นำทีมร่ายรำโดยคณะรักเร่

ชักชวนเพื่อนพี่น้องร่วมปิดตลาดท่ามกลางเสียงหัวเราะ ชื่นมื่น ..

 

สุดท้ายนี้..ในความบังเอิญที่ลงตัว ไม่ว่าจะคน หรือผลผลิตจากท้องถิ่นต่างๆ ในรูปแบบต่างๆ ของร้านค้าต่างๆ ที่เดินทางเข้าไปยังใจกลางเมืองใหญ่ เราสัมพันธ์กันและกันอย่างไม่อาจแยกขาด ปรากฏการณ์ ตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ช่วยตอกย้ำปณิธานที่เขียนไว้ตรงประตูโรงนาหลังคาสีแดง ณ บ้านของเรา ณ จังหวัดสมุทรสงครามที่ว่า

 

“บนเส้นทางที่ก้าวย่าง หากพบสิ่งดีเราจะคิดถึงกัน”

ใช่!! แน่นอน ..เราจะคิดถึงกัน

 

ด้วยจิตคารวะ

คณะรักเร่ หนู โจ อาร์ต แอนด์ ฟาร์ม ณ ตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ณ สวนครูองุ่น

วันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2561

Share Button

ความตาย..มันเงียบนัก

บางความตายนั้นเงียบงัน..สงบนิ่งราวกับเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา

เธอจากไปแล้ว.. ลูกสาวของแม่ ภรรยาที่แสนดี และแม่ผู้เสียสละ..ของลูกชาย

 

อะยัมปิ โข เม กาโย เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโต” “

ร่างกายของมนุษย์เรานี้ ย่อมมีความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ เป็นปกติอย่างนี้

ไม่ล่วงพ้นความตายอย่างนี้ไปได้เลย

สิ้นคำเทศน์ก่อนถึงพิธีเผาศพ ขณะที่โลงศพค่อยๆเคลื่อนวนรอบเมรุ ใครบางคนหัวใจสลาย

การตายจาก..เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับผู้คนที่ไม่รู้จักกัน..

 

ก่อนสิ้นลมหายใจสุดท้าย เธอผู้นี้ ทำหน้าที่แม่ดูแลลูกชายวัยรุ่นพิการนอนติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ชีวิตที่เหลืออยู่ของแม่ ฝากไว้ที่ลูกชายจนหมดสิ้น.. เขาคือแก้วตาดวงใจอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวของครอบครัว

ครอบครัวเล็กๆที่มีเพียงเราสามคน พ่อ แม่ ลูก

 

ลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ตั้งแต่วัยเพียงสิบห้าปี

เขานอนเหงาอยู่บนเตียงโดยมีแม่คอยเคียงข้างทุกเช้าค่ำ

เป็นเวลายาวนานกว่า 6 ปี อยู่ดีๆแม่ก็ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

เธอกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำได้แค่เพียงนอนคุยเคียงข้างลูกชาย…

 

เหลือแค่สามี ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนภรรยา รวมทั้งต้องหารายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว

ลำพังแค่สาละวนดูแลลูกและเมีย ในแต่ละวัน เงินที่สะสมไว้นับวันก็ยิ่งร่อยหรอ

โชคดีที่โครงการอาสามาเยี่ยม มาช่วยแบ่งเบา ได้รับข้าวสาร อาหารแห้ง พอได้ประทังชีวิต

ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ คือคุณูปการที่ช่วยทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าได้พักผ่อนบ้าง

 

พ่อบ้านสลับสับเปลี่ยนทำความสะอาดให้กับลูกและเมียอย่างไม่รังเกียจ

บนเส้นทางของนักสู้ เขารู้ดีว่าสุดท้ายปลายทาง คือการลาจาก..ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย

เขาจะทำทุกวันให้ดีที่สุด

 

ปลายยอดเมรุ ควันสีเทาพวยพุ่งไปในอากาศ สิ้นสุดความเจ็บปวดทรมาณทางกาย

เหลือไว้แค่เพียงความทรงจำของคนที่ยังต้องอยู่ต่อไป..

บางครั้ง ความตาย อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับบางเรื่องและบางคน

และไม่ว่าอย่างไร .. ชีวิตหลังความตายของใครสักคน

อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ๆ ที่หนีไม่พ้นเรื่องการเกิด แก่ เจ็บและตาย

 

Share Button

วันนี้น้องชายคนเล็กของบ้าน มีอาการจับไข้ หนาวสั่นอีกแล้ว

เดือนนี้เราต้องพาเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลถึงสองครั้งด้วยอาการติดเชื้อเฉียบพลัน

ต้นเหตุเพราะ สายปัสสาวะที่เจาะคาไว้ที่หน้าท้อง เพื่อระบายของเหลวนั้น

บางครั้งบางคราวมันก็บอบบางราวกับเด็กทารก เมื่ออากาศเปลี่ยนร้อนไปชื้นไป

มันก็รังแต่จะติดเชื้อโน้นนี่ ลำพังยาแก้อักเสบธรรมดาไม่เคยเอาอยู่

 

หมอสั่งยาฆ่าเชื้อราคาสูงลิ่วเท่ากับรถมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน

ด้วยเชื้อที่ว่าดื้อยาราคาถูกเสียแล้ว …

 

พ่อโอบอุ้มหัวและคอยพยุงแผ่นหลังไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว

พี่เขยช้อนขาไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้างไว้แน่น พี่สาวทำหน้าที่พายเรือ

แม่รอรับร่างลูกชายคนเล็กอยู่ในเรือ เตรียมที่นอนหมอนไว้รองรับร่าง

กว่าจะถึงโรงพยาบาล ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกัน

เพราะบ้านเราอาศัยคันดินริมคลองเป็นที่อยู่อาศัย การไปไหนจึงต้องใช้ทั้งเรือและรถ

 

ริมคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ตรงข้ามวัดแคลายวงศ์มณี ตำบลศาลาแดง อำเภอวังน้ำเปรี้ยว

จังหวัดฉะเชิงเทรา คือพิกัดที่อยู่ของครอบครัวนี้ ที่ดินถูกสืบทอดโดยปราศจากหลักฐานมานานกว่า 70 ปี

ตั้งแต่รุ่นยายทวด เร็ววันอันใกล้นี้ ที่ตรงนี้พวกเขาอาจเป็นได้เพียงแค่คนไม่มีสิทธิ

ไม่มีสิทธิครอบครอง ไม่มีสิทธิอยู่อาศัย และไม่มีสิทธิใดๆ ในฐานะของคนอยู่มาก่อน

 

11 ปีที่แล้ว เด็กชายเคยวิ่งเล่นซุกชน พายเรือเช้าเย็น ลูกชายคนเล็กของบ้าน

ท่ามกลางพี่ๆทั้งหญิงชาย เขาได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม

 

11 ปีให้หลัง เขานอนอยู่บนเตียง เดินไม่ได้ ลุกนั่งลำบาก และหลังถูกดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก

ปัจจุบันเขาอายุ 24 ปีแล้ว ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นบนเตียงผู้ป่วย โดยมีแม่เป็นผู้คอยพยาบาล

ครึ่งล่างไม่มีความรู้สึก ขาทั้งสองข้างค่อยๆเล็กและลีบลงไปเรื่อยๆ

 

ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาอีกแล้ว.. เหล็กที่ดามอยู่ที่หลังและขาสั่นสะท้าน

มันเต้นระริก เหมือนมีชีวิตเมื่อพบเจอลมหนาว เด็กหนุ่มพ่ายแพ้ต่อเหล็กเย็นเฉียบในร่างกาย

ความทรมานหนึ่งเดียวบนเตียงผู้ป่วยที่เขาไม่อาจต่อสู้กับมัน..

 

“ตอนเป็นใหม่ๆก็คิดมาก แต่มันทำอะไรไม่ได้แล้ว คิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

“สู้ อยู่อย่างนี้ไปทำใจให้ดี เพื่อแม่จะได้ไม่รู้สึกแย่” เด็กหนุ่มเล่าถึงความรู้สึก

 

“ถ้าเขาเศร้า ฉันก็จะลำบาก ดีหน่อยที่เขายิ้มได้ คนดูแลก็มีกำลังใจ” แม่กล่าวพร้อมกับมองไปที่ลูกชาย

 

การพบเจอกันครั้งแรก .. แปลกก็ตรงที่ได้เจอกับรอยยิ้มของเขา

เขานอนติดเตียง เคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนมาไหนไม่ได้ มานานกว่า 11 ปี

ส่วนคนที่ขับรถกระบะคันนั้น ในบ่ายวันหนึ่งด้วยอาการหลับใน

ทุกวันนี้ยังสุขสบายดีหรือไม่ เด็กหนุ่มลืมมันไปเกือบหมดแล้ว

ไม่ใช่ว่าเขาให้อภัย.. แต่มันย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้..เขาจึงได้แต่ทำใจ

 

ค้นหาความสุขเพื่ออยู่กับปัจจุบันและเปลี่ยนความรัดทดท้อใจให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา

มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น แล้วปล่อยชีวิตตัวเองตามโชคชะตา..ที่เลือกไม่ได้ต่อไป

 

หน้าที่ของโครงการอาสามาเยี่ยม ไม่ใช่เพียงนำข้าวของเครื่องใช้ไปให้

การเยี่ยมเยียนกันตามประสาเพื่อนมนุษย์ ช่วยชุบชูใจให้มีแรงสู้ต่อ

ในฐานะของคนแปลกหน้าที่มีใจคิดถึงกัน..

 

Share Button

ณ สถานที่ ที่เวลาเป็นนิรันดร์

เป็นเวลาบ่ายสามนาฬิกา ก่อนแดดร่มลมตก
ฉันได้ยินเสียงลมหัวเราะต่อกระซิกกับใบไม้
● ฉับพลัน กระรอกตัวเก่งกระโดด จากกิ่งไม้หนึ่งไต่ไปตามสายไฟแรงสูง
สูงเสียดฟ้า ฝุ่นละอองลอยฟุ้ง เป็นริ้วเล็กๆสีขาวๆทั่วท้องฟ้า
ริบๆสุดสายตาเป็นตึกคอนกรีตกำลังก่อสร้าง ส่งเสียงตึงตัง ตลอดทั้งกลางวัน
ระยิบแดด พยายามเบียดใบไม้เพื่อปรากฏตัวบนสนามหญ้าสีเขียวตองอ่อน
เด็กน้อยเอามือสัมผัสผืนทราย ก่อ ขยำและสร้างรูปทรงเป็นบ้าน ภูเขา
และทะเล
บนพื้นที่สองร้อยห้าสิบตารางวา
รองรับจินตนาการของทุกคนได้อย่างไม่จำกัด
ในยามเช้าของทุกวัน ท่ามกลางความวุ่นวาย แออัด รถติดของซอยทองหล่อ
โอโซนบริสุทธิ์รวมตัวกระจุกอยู่ในสวนสีเขียวของครูองุ่น จาลิก ผู้รักสงบ
ในยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน .. ไอชื้นของผืนดินนำความเยือกเย็นมาให้
กลิ่นดินหอมๆ และเสียงน้ำกระทบรดต้นไม้
ทำให้กิ่งก้านของมันแผ่กว้างขวางยิ่งขึ้น
ไม่ใช่เพียงเด็กๆที่หวังพึ่งพิงสวนแห่งนี้
..ผู้คนที่เหนื่อยล้า..คิดถึงบ้านนอกเมืองอาศัยมุมเล็กๆถอดถอนใจ
แว่วเสียงกระซิบในความทรงจำ ตุ๊กตาหุ่นมือจากผ้าหลายสี
เคยอวดโฉมในมือของครูองุ่น
ซุ่มเสียงสูงต่ำ และเรื่องราวพิศดาร เสกสรรเศษผ้าให้มีชีวิต
และทุกครั้ง จินตนาการที่หลับไหลก็กลับมาโลดแล่น
ในหัวใจของเด็กและผู้ที่เคยเป็นเด็กมาก่อน
เด็กหญิงลูกครึ่งผมหยิก แก้มสีชมพู เธอใช้ชีวิตอยู่บนคอนโดหรูหรา
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว เด็กน้อยยังเดินไม่ถนัด ล้มลุกคลุกคลาน
เดี๋ยวนี้แขนขาแข็งแรง วิ่งวนรอบต้นไม้ หัวเราะเอิกอ้าก
สร้างสีสันให้กับดอกไม้และใบหญ้า

เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ที่สวนแห่งนี้เปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตได้เติบโต
ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่หมายรวมถึงจิตใจอันสดชื่น
แจ่มใสของเมืองที่ถูกละเลยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
บ้านสมถะหลังน้อยของครูองุ่นยังอยู่เช่นเดิม..เพื่อย้ำเตือนความทรงจำ..
รอยเท้าที่เคยเหยียบย่ำ ยังมิจางหาย.. หากใช้ใจสัมผัส
เราจะมองเห็นร่องรอยแห่งความเมตตากรุณา
ในความร้อนรุ่มของเมือง
สวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้ให้ความร่มเย็นในทุกวัน..
การได้เข้ามาเดินเล่น นั่งพักฟังเสียงธรรมชาติที่นี่
เปรียบเสมือนได้พูดคุยกับครูผู้อารี
แล้วร่ายกายและหัวใจของเราจะได้รับการชำระล้าง …

Share Button

กำลังใจไม่เคยเพียงพอ

ทันทีที่คุณคิดจะเป็นผู้ให้ .. ใครบางคนสัมผัสได้ถึงความสุข
กองเสื้อผ้า ของเล่น หนังสือ และของเหลือใช้ที่ใครๆเรียกกว่าของบริจาค
เหล่าของประดามีเหล่านี้ หากเทียบเป็นราคาก็อาจมีค่าน้อยนิดเกินประมาณ
บางสิ่งบางอย่างเป็นขยะของบ้านหนึ่ง
แต่กลับส่องประกายแวววาวเจิดจ้าสำหรับอีกบ้านหนึ่ง
ฟูกเก่าๆมือสอง ของที่ใครๆไม่ต้องการ
แต่มันกลับสูงค่ามากมายสำหรับแผ่นหลังอันเมื่อยล้าของใครคนหนึ่ง
แม้แต่พัดลมสีซีด เตารีดที่ควบคุมความร้อนได้บ้างไม่ได้บ้าง
และหม้อหุงข้าวเก่าเก็บ
มันยังถูกใช้งานอย่างรู้คุณค่าในห้องครัวผุพังสังกะสีในบ้านที่ไม่อาจจะเรียก
ได้ว่าบ้าน ณ หนองน้ำครำแห่งหนึ่ง
ตุ๊กตาตัวน้อยสีทึมเทา และผ้าห่มลายการ์ตูน
มันแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเด็กน้อยหน้าตามอมแมมหัวยุ่งเหยิง
มือน้อยๆค่อยลูบไปตุ๊กตาหมีอย่างทะนุถนอม
สำหรับเด็กบางคนมันเป็นของเล่นชิ้นแรกในชีวิต
ทันทีที่รถวิ่งวนเข้ามาจอด..เจ้าหน้าที่กุลีกุจอต้อนรับ
เรารู้ดีว่าหลังรถทุกคัน บรรจุกำลังใจมากมายมาฝากไว้ให้กับเราที่นี่..
กำลังใจที่มาในรูปแบบ “ของบริจาค”
เกินกว่าจะจินตนาการได้ว่าข้างในถุงใบใหญ่หลากสีสันนั้นห่อหุ้มสิ่งใดไว้บ้าง ..​
เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้ดี .. ทุกสิ่งอันที่นำมากองไว้ คือสิ่งสำคัญ
สมบัติล้ำค่าจากบ้านสู่อีกบ้าน
สำหรับที่นี่ เรามีกำลังใจส่งมาให้ล้นหลามในทุกวัน
ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะร้อน
แต่ทว่ากำลังใจยังไม่เคยเพียงพอ ทุกทั่วหัวระแหงของประเทศ
หลายบ้านยังคงว่างเปล่า ขาดข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
เด็กหลายคนยังนอนหนาว และขาดเพื่อนเล่นในจินตนาการ

โรงเรียนหลายโรงเรียนไม่มีดินสอ ยางลบ ถุงเท้า และอาหารกลางวัน
เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้ดี.. การรับบริจาคจึงไม่มีวันหยุด
จนกว่ากำลังใจจะถูกส่งถึงทุกคนทุกพื้นที่ .. ด้วยความเคารพจากหัวใจ

Share Button

ตามหาแรงบันดาลใจ ผ่านทัศนะของ “วีรพร นิติประภา” นักเขียนซีไรต์ 2 สมัย ผู้มอบดาบวางลงบนบ่าแก่นักประดิษฐ์วาทะกรรมรุ่นใหม่

จริงๆแล้วคนเราขับเคลื่อนชีวิตด้วยอะไรกัน..

“ทะเลปีละ 6 แห่ง
ภูเขาปีละ 3 ลูก
เหล้าวัน 8 แก้ว
บุหรี่วันละซอง
หรือคำพูดดีๆ วันละหนึ่งประโยค….”

ในแต่ละวันมวลของความขยันและขี้เกียจทำงานต่างกันไป ทุกวันนี้ฉันนั่งเขียนงานได้บ้างไม่ได้บ้าง
บางวันฝนตกหนัก..เสียงเม็ดฝนดังกลบเสียงผู้คนที่ฉันกำลังถอดเทป บางวันแดดดี ..เหลือบไปเห็นผ้าในตระกร้าก็ต้องลุกขึ้นมาซักผ้าประชดแดดสักหน่อยบางทีกำลังได้ที่ จินตนาการบรรเจิดรื่นไหล คอมพิวเตอร์เจ้ากรรมก็หมดแรง ปิดหน้าจอตัวเองไปอย่างไร้เหตุผล ที่ผ่านมาฉันไม่รู้ว่าจะใช้อะไรขับเคลื่อนตัวเองได้ นอกเสียจากตัวเอง

น้ำสองลิตรต่อวัน ช่วยทำให้ชีวิตไม่แห้งแล้งจนเกินไป ระหว่างทำงานเราเดินไปมาต่อสู้กับความคิดภายในและภายนอกตัวเราฉันไม่รู้จะขับเคลื่อนตัวเองด้วยอะไร นอกเสียจาก การออกไปรดน้ำต้นไม้นอกบ้าน การเดินไปเดินมาแล้วรอให้กลุ่มคำแว๊บเข้ามาในหัวสมอง….

ชีวิตนักเขียนผูกติดอยู่กับแรงบันดาลใจไฟฝัน..บางวันอารมณ์ขึ้นๆลงๆเช่นพระจันทร์กว่าจะรวบรวมสติสัมปัญชัญญะเขียนงานให้เสร็จสิ้นแต่ละชิ้น บางครั้งใช้เวลาเพียงเสี้ยววัน บางครั้งใช้เวลาสี่ห้าวัน บางทีก็สุดแต่ใจจะไขว้คว้า..จนกระทั่งฉันได้ฟังคำบอกเล่าของนักเขียนหญิงผู้คว้ารางวัลซีไรท์ติดกันสองครั้งสองคราอย่างพี่แหม่ม วีรพร นิติประภา ปัญหาความคิดติดๆดับๆของฉันก็พลันรื่นไหล เพราะงานเขียนไม่ใช่แค่งานเขียนอย่างที่เข้าใจเสมอไป..แต่ทุกคำที่เขียนมันอาจเปลี่ยนชีวิต ความคิดของผู้อ่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ..หรือไม่ก็ไม่สามารถหยั่งรู้สิ่งใดจากถ้อยคำเหล่านั้นเลย..ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ของนักเขียน..หากแต่ผู้อ่านเท่านั้นที่มีสิทธิตัดสิน

และนี่คือบทสนทนาระหว่างเรา เมื่อครั้งโครงการอ่านสร้างชาติ เปิดบ้านเชิญ พี่แหม่ม “วีรพร นิติประภา” มาเปิดวงเสวนาในหัวข้อ “ชีวิต คิด เขียน” ซึ่งในขณะนั้นพี่แหม่มควบตำแหน่งนักเขียนซีไรต์ประเภทนวนิยายครั้งแรกในปี 2558 จากนวนิยายเรื่อง ‘ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต’ และหลังจากนั้นอีกไม่นานเธอคว้ารางวัลซีไรต์ประเภทนวนิยายอีกครั้งในปี 2561จากนวนิยายเรื่อง ‘พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ’ ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว.. การได้โอกาสฟังทุกถ้อยคำผ่านความคิด และชีวิตของพี่แหม่ม จึงถือเป็นคุณูปการแห่งชีวิตที่เหลือต่อจากนี้..และทุกถ้อยทุกคำถูกถอดอย่างละเอียด เพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำในความทรงจำที่ถูกบรรจุไว้ลึกที่สุด ดั่งสมบัติล้ำค่าสำหรับใช้ต่อเติมไฟฝันเพื่อเติบโตเป็นนักเขียนที่เขียนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ในใจของผู้อ่าน ..ไม่มากก็น้อย

คำถาม : “ชีวิต คิด เขียน” ในแบบฉบับของพี่แหม่ม วีรพร นิติประภา หมายความว่าอย่างไร

ตอบ : สำหรับเราการเขียนคือการหนีตัวเอง คือกูไม่ไหวแล้ว ฉันจะต้องออกมาข้างนอก ฉันจะต้องออกจากตัวฉันเอง เป็นอะไรที่อธิบายยาก แต่ก็ถูกกระตุ้นด้วยอะไรหลายๆอย่าง ถ้าใครที่เคยอ่านสัมภาษณ์คงได้รู้ว่าเหตุการณ์ปี 53 เป็นตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้รู้สึก และหันไปบอกผัวว่าฉันจะเขียนเรื่องนี้ เขียนยังไงก็ไม่รู้เพราะว่าไม่ได้เขียนมาสามสิบกว่าปีมีความรู้สึกว่า มันไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เมื่อคุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คุณเซ็ตนิยาย คุณวางสถานการณ์ คุณเขียนนิยายเพราะคุณจะได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้
แบบนั้น ผ่านนิยายรักนี่ล่ะ ผ่านตัวละคร โดยตั้งสมมติฐานที่หนึ่ง ว่าด้วยมายาคติ ซึ่งอาจจะไม่ผิดก็ได้ไม่ถูกก็ได้
ไม่รู้ แต่เราเซ็ตโจทย์เพื่อทำความเข้าใจกับปัญหาชีวิตของเราเอง ณ ตอนนั้น สุดท้ายพบว่ามายาคติไม่พอ ต้องมีเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย จึงออกเล่มที่สอง

คำถาม : เราเขียนหนังสือเพราะเรามีเรื่องสมบูรณ์แล้วในการพูด หรือเขียนเพื่อจะได้คุยกับตัวเอง

ตอบ : อย่างหลัง การสร้างสถานการณ์ขึ้นมาแล้วโยนตัวละครลงไป แล้วดูว่าเขาจะคุยเรื่องนี้ยังไง จะเข้าใจกับเรื่องนี้ยังไง พอทำไปสักสองเล่มก็พบว่า เรื่องที่เราต้องคิด กลับกลายเป็นโดมใหญ่ๆนอกเหนือจากมายาคติ ไปสู่ประวัติศาสตร์แล้วเรากำลังจะเล่าเรื่อง ความจริงหรือไม่จริง ความจริงที่ถูกสร้างขึ้น หรือความจริงลวง ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องของประวัติศาสตร์แล้วอาจจะเป็นเรื่องอื่นก็แล้วแต่เราจะสร้างโจทย์ขึ้น เพื่อหาคำตอบที่เราสนใจ

คำถาม : เพราะพี่เป็นคนมีคิดแบบนี้หรือป่าวจึงทำให้ไม่มีเพื่อน

ตอบ : เราไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว เพราะว่าเราเป็นชนชั้นกลางในเมือง เราใช้ชีวิตแบบนั้นมา พอถึงจุดหนึ่งเราพบว่าเราไม่มีเพื่อนจริงๆ เราไม่ได้เข้ากันได้กับวิธีคิดของคนรอบตัวเรา ทั้งการเมือง ไม่ได้พูดถึงเรื่องสีนะ ไม่ว่าจะดำหรือจะขาว ไม่ได้ยากเกินไปที่จะเป็นเพื่อนกับคนที่อยู่ที่ฝั่งหนึ่ง แต่การสิ้นคิดของมึงนี่คือ การไม่พยายามมองอะไรในมุมกว้าง หรือไม่พยายามพูดจา ยากตรงนั้น เหมือนไม่มีอะไรคุย มึงเชื่อแบบนั้นก็เชื่อไป ซึ่งก็เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เป็นเรื่องที่เคยพูดกับเด็กรุ่นใหม่ว่า พี่ขอโทษว่ะ พี่ขอโทษจริงๆ ที่ปล่อยให้พวกคุณต้องเติบโตในประเทศที่มีไร้สาระและเลอะเทอะแบบนี้ เรากำลังให้สิ่งนี้เป็นมรดกให้คนรุ่นต่อไปแล้วเราไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ ตอนนี้ไม่มีสงครามอยู่แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจบ

คำถาม : ทั้งสองเรื่อง พี่มีวัตถุดิบที่ละเอียดละออ เนื้อหามันก็ไม่ใกล้เคียงกัน อย่างในเรื่องพุทธศักราช เรื่องตอก ซอก ซอยในเยาวราช ดูมีความลึกอีกแบบหนึ่ง วัตถุดิบพวกนี้พี่เอามาได้อย่างไร แล้วเวลาเขียนมาได้อย่างไร

ตอบ : เดินสิคะ พี่เดิน เข้าใจว่าตอนเขียนพุทธศักราชนี้ พี่ไปโผล่ตลาดน้อย อาทิตย์ละสองสามวัน ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว เดินดูถนน ดูโน้นดูนี่ แอบฟังชาวบ้านคุยกัน มีเรื่องในครอบครัวตัวเองบ้าง ครอบครัวเพื่อนบ้าง แต่งเอาเองบ้าง อ่านจากอินเทอร์เน็ตบ้าง พี่มีวิธีค้นอินเทอร์เน็ตแบบแปลกๆ คนจะถามว่าไปรู้ได้อย่างไร ก็เข้าไปในห้องแชทคนแก่ ถามเรื่องอดีตตอนเกิดสงคราม ทุกคนก็เล่าบ้านฉันเคยอยู่ตรงนี้ เสื้อแขวนอยู่ตรงนั้น ระเบิดลงวิ่ง มีรูกระสุน อีกสองวันมีข้อความแบบนี้ คือมีเสื้อของพ่อแขวนอยู่หน้าบ้าน แล้วมีรอยรูกระสุน ตกลงใครเป็นต้นตอของเรื่อง ก็จะมีการเล่าไปเรื่อยๆแล้วก็จะเจอ เราก็จะค้นคีย์เวิร์ดไปเรื่อยๆ เรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่เมืองจีน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ คาดว่ามีคนตายถึงล้านคนจากการระเบิดแผ่นกั้นแม่น้ำ เพื่อสกัดญี่ปุ่นเข้ามา แล้วก็ไม่มีรัฐบาลไหนเข้ามารับผิดชอบ เหมาะมากกับการเอามาเล่าประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มันเป็นอย่างนี้ คนตายล้านคนยังหายไปเลย จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็ไม่เคย ไม่ใช่แค่รัฐบาลจีน เป็นความสนุกอย่างหนึ่ง ความจริงคือมันไม่อยาก แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรให้เราทำงานให้มันสนุก พอเราสนุก ข้อมูลมันก็หลั่งไหลมาเอง

ถาม : เวลาเขียนเพื่อหลอกล่อให้คนอ่านติดตาม ระดับความถี่ของการหลอกล่อ จะต้องอยู่ในระดับไหน หมายถึงว่าหนังสือมันเล่มใหญ่จะหลอกล่ออย่างไรให้คนอ่านอยู่กับเราตลอดเวลา

ตอบ(พี่แหม่): ลองถามคนที่อ่านแล้วดูว่าหลอกล่อทั้งเล่มไหม

ผู้อ่านท่านหนึ่ง : คือ พี่แหม่มจะมีวิธีเล่า เอาจริงๆนะ ผมไม่ชอบสำนวนพี่แหม่มเลย มันกึกๆกักๆขี้ไม่สุดสักที ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ แต่สิ่งที่ดึงผมได้ เพราะพี่แหม่มผูกปมสนุก อีกอย่างคือผมชอบภาพพี่แหม่ม เวลาอ่านประโยคกึกๆกักๆ สำหรับผมนะ ผมเห็นภาพ แล้วก็งงว่าไอ้ห่า มึงเขียนได้อย่างไรให้กูเห็นภาพ แต่ก็เป็นเสน่ห์ให้ผมตามไป เหมือนเราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีเสห่น์เลยแต่ก็มีบางอย่างให้ผมตามไป พี่แหม่มเป็นอย่างนั้นในงานเขียน แต่ตัวตนผมไม่ทราบ เป็นงานที่อ่านแล้วเหนื่อย งานจบช้า เป็นงานที่เราต้องยอมเลย

ตอบ(พี่แหม่ม) : เราอาจจะโตมาในยุคสมัยที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีไลน์ เพราะฉะนั้นเราจะอ่านหนังสือ นั่งอ่านเงียบๆ นั่งอ่านไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จบ แต่ยุคสมัยนี้คนจะบอกว่า อ่านยาก อ่านช้า ก็ปิดๆซะบ้าง เดี๋ยวก็อ่านจบ เดี๋ยวไลน์ก็ดัง เดี๋ยวฟีดก็ไหล จะไปจบยังไง ของพี่พี่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองเช็คไลน์ เช็คอะไรเลย ไม่งั้นต้องกลับมาอ่านใหม่

ถาม : เป็นงานเขียนที่เรียกร้องคนอ่านอย่างมากให้อยู่กับหนังสือของฉันนะ

ตอบ : คนอ่านเรียกร้องน้อยเกินไป อ่านก็อ่าน ทำไมคิดว่าอ่านแล้วต้องเปิดทีวี คุยกับแฟน แชตกับชู้ มันจะไปได้อะไร ตั้งหน้าตั้งตาอ่านไป เรื่องก็มีอยู่แค่นี้

ถาม : ผมอยากถามว่า คาดหวังขนาดไหนกับคนรุ่นใหม่ ที่มีศัตรูของชีวิตที่มาแย่งชิงเวลาเยอะไปเยอะเหลือเกิน เพราะยุคก่อนทีวีก็น้อยกว่า แต่ยุคปัจจุบันเทคโนโลยีมันเยอะมาก จึงทำให้สมาธิคนเราน้อยมาก คาดหวังกับคนอ่าน กับสังคมการอ่านในประเทศแบบนี้อย่างไรบ้าง

ตอบ : พี่แค่เผชิญโชคดีที่ได้รางวัล มันก็เลยถูกอ่าน คนอ่านเยอะมาก เป็นหนึ่งในหนังสือที่ถูกอ่านมากที่สุดเล่มนึง พอหลังจากนั้นแล้วถัดมาก็จะถามกันว่าอ่านหรือยัง ..เชยว่ะ เพราะว่าขายกันเอง นักเขียนไม่มีสิทธิ์คาดหวัง คุณมีสิทธิแค่ทำงานให้เสร็จ จบ ขึ้นเล่มใหม่ เสร็จ จบ คุณจะไปหวังอะไร รางวัลก็ไม่มีสิทธิ์หวัง ระหว่างทำที่หวังอยู่อย่างเดียวคือเมื่อไหร่จะเสร็จ ช่วยเสร็จสักทีเถอะ กูจะตายแล้ว สามปีผ่านไป มันจะจบไหม เรารู้แค่นั้น เราไม่ได้รู้มากไปกว่านั้น แต่ว่าในขณะเดีวกันเราก็พยายามเต็มที่จะเขียนงานให้มีเสน่ห์ดึงดูดใจ มีภาษากึกๆกักๆ สวยงามมากพอที่คุณจะวางไม่ได้ ง่ายก็ต้องไม่ง่ายเกินไป เพราะถ้าคุณเขียนง่ายเกินไป ระหว่างอ่านคนอ่านก็จะไม่ได้ใช้สมอง เมื่อไม่ได้ใช้สมองเขาก็ไม่รู้ว่า แมสแซสที่เราวางไว้ใต้หนังสือ ด้านลึกลงไปอีกมันคืออะไร หลายๆอย่างเราต้องให้เขาคิดเอง ถ้าเราไปบอกเค้าหมด หนังสือมันจะมีอะไร ฉะนั้นระหว่างทางคุณต้องกล้าพอสมควรให้เขาได้กลับไปคิดและอ่านใหม่ และทำความเข้าใจกับประสบการณ์ดั่งเดิมของเขา เราไม่มีสิทธิเอาประสบการณ์ของเรายัดเข้าไปในหัวใคร มันต้องเกิดวุฒิปัญญาเองด้วยตัวเขา ซึ่งมันยากถ้าเราจะอยู่ตรงนี้

สิ่งที่หนึ่งที่มั่นใจคือ พี่มั่นใจว่าพี่เลือกกลุ่มนักอ่านที่ถูกต้อง ในบางครั้งที่คุณเขียนหนังสือคุณไม่ได้ตั้งไว้ก่อนว่าคนอ่านจะคือใคร แต่พี่แน่ใจว่าพี่ไม่ได้สื่อสารกับคนแก่ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พี่กำลังเบื่อคนรุ่นเดียวกัน แล้วคนแก่กว่ามากฉันจะไม่เสียเวลาพูดกับมึง พวกมึงมันสมองเสียสมองเน่า พี่จะพูดกับเด็ก จะทำงานกับเด็ก เผอิญโชคดีที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเด็ก ไร่ไปจนอายุ 30-35 ปี เป็นกลุ่มคนที่อ่านหนังสือ ป่วยการที่จะเขียนหนังสือให้คนอายุ 50 อ่าน เขาไม่อ่านกันแล้ว หูตาก็ไม่ดี เล่นไลน์ส่งดอกไม้ คุณสื่อสารกับคนที่เป็นกลุ่มอ่านใหญ่ เด็กมีเวลามากกว่า อ่านหนังสือมากกว่า เรื่องจริงคือพออายุยิ่งเยอะก็ไม่อ่าน ชอบดูละครเข้าใจง่ายกว่า

ถาม : พี่มองว่ากลุ่มคนอ่านคือ อายุ 18-35 ปี ผมเข้าใจว่าพี่ต้องไปแย่งชิงกับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอ่าน และคุ้นเคยกับโทรศัพท์ โจทย์นี้มันไม่ยากกว่าหรอ กับการจับกลุ่มคนอายุประมาณ 50 ที่ชอบอ่านและเลือกอ่านงานที่มีคุณภาพ คำถามที่สองคือ งานที่ผมอ่านถือว่าแพรวพราวนะ แต่ผมอ่านได้รวดเดียวจบ เวลาเริ่มเขียนเราจะกลัวว่าคนอ่านจะอ่านไม่จบ ทิ้งซะก่อน ทำให้เราอยากเขียนอะไรที่รวบๆเร็วๆโดยเฉพาะคนอ่านไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ เราจะยิ่งรวบแต่เราไม่กล้าเขียนแบบนี้แน่ๆ

ตอบ : พี่ไม่ได้ชิงกับอินเทอร์เน็ต แต่แย่งชิงกับกลุ่มที่อ่านนิยายรักอยู่แล้ว มันมีกลุ่มพวกนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ในตลาดหนังสือ อ่านนิยายวาย มันมีกลุ่มนี้อยู่ พี่ถึงเริ่มด้วยการเขียนนิยายรัก มีหนังเพลง นางเอกจะโบฮีเมี่ยนหน่อย พระเอกเล่นดนตรีตามบาร์ ส่วนภาษาจะยากหรือง่ายไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับบก. บก.จะบอกคุณว่าไม่รู้เรื่อง ถึงแม้ว่าจะสวิงสวาย คือเราอยู่ในช่วงที่ประเทศเพิ่งผ่านวรรณกรรมเพื่อชีวิตมาสามสิบกว่าปี แน่นอนวรรณกรรมเพื่อชีวิตจะเป็นภาษาที่เรียบง่ายที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ พอหมดยุคเพื่อชีวิต ก็เข้าสู่ยุคมูราคามิซึ่งเป็นภาษากราฟฟิค โล่งๆ เวิ้งๆ ลอยๆ พอมาถึงตรงนั้นก็เป็นมินิมอล ภาษาจะนิ่งๆโล้นๆไป คิดอยู่อย่างเดียวกว่าเราทำภาษาสวยได้ เยอะได้ และซ้อนประโยคได้ ได้ก็ได้ เสียก็เสีย ไม่มีคนอ่านก็เจ๊ง ก็เท่านั้น เลิกเขียนไปทำอย่างอื่น ขายหมูปิ้ง แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าคุณใช้ภาษาได้ คุณเอาอยู่ น่าสนใจ ก็ผ่าน และบ้านเมืองก็ขาดภาษาสวยๆมาตั้งแต่รงค์ วงศ์สวรรค์ ถ้ายังอ่านงานอย่างรงค์ได้ งานพี่ก็ง่ายกว่ามาก เวลาที่เขียนหนังสือ บางครั้งที่มันเวิ่นเว้อเพราะต้องการความรู้สึกด้วย ในเนื้อหาสาระเรารู้เท่ากันหมด แต่กลายเป็นว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ หรือรู้สึกแค่เวลามันเกิดขึ้นกับตัวคุณ แต่ไม่รู้สึกเวลาที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็เลยเน้นเรื่องความรู้สึกมากกว่า

ถาม : ประสบการณ์งานด้านการโฆษณามีส่วนในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของพี่หรือไหม อย่างไร

ตอบ : พี่เรียนรู้อย่างหนึ่งจากงานโฆษณา พบว่าเหมือนขายขี้กระป๋อง การรับรู้จริงๆคือการรับรู้ด้วยใจ การเขียนหนังสือคือการทำให้คนอ่านเห็นด้วยใจ ไม่ใช่เห็นด้วยตา หรือเหมือนมีคนถามว่าอะไรเป็นจุดผลักดันให้คุณมายืนอยู่ตรงนี้มันคือการรับรู้ด้วยใจไม่ใช่เนื้อเรื่อง การทำงานคือการทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นจุดลากพาเรามาถึงจุดๆนี้ ในทุกๆด้านทั้งสังคม การเมือง ชีวิต ความรัก ทุกอย่าง คุณเคยสงสัยว่าทำไมรักคนๆนี้ เป็นคำถามที่น่าถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในทุกๆวันที่เกิดขึ้นกับเรา

นักเขียนต้องเป็นนักถามพี่เป็นนักเขียนที่ไม่สนใจว่าถ้าคุณอ่านจบสองเล่ม คุณจะเข้าใจอะไรไหม คุณจะรู้คำตอบหรือไม่เป็นปัญหาของคุณ หรือนักเขียนจะรู้คำตอบแล้วมาบอกคุณ คุณจะเชื่อได้อย่างไร แต่เมื่อคุณอ่านหนังสือ คือเรามาเรียนรู้ด้วยกัน หรือบางทีเราก็อยู่ในประเทศที่การอ่านไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมของการถาม เวลาที่คุณเรียนหนังสือไม่ได้สอนให้คุณมีคำตอบมากกว่าหนึ่ง คือคุณไม่ได้ถูกสอนให้ถาม แค่นี้ก็บรรลัยแล้วไปไหนไม่ทันโลกแล้ว

คำตอบไม่ได้แค่หนึ่ง เมื่อไหร่ที่คุณเข้าใจว่าคำตอบมันมีแค่หนึ่งคือมันผิดแล้ว คำตอบมันมีมากกว่านั้น ในโลกที่ทุกอย่างเป็นพหุ ในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว วัฒนธรรมก็เป็นวัฒนธรรมรวมหมู่ ประเทศก็ไม่มีเส้นแบ่ง มีแต่ในแผนที่ ทุกอย่างมันรวมกันหมดแต่เรากลับไม่ถามคำถามอะไรเลย ยังอยู่ในเส้นแบ่งแบบโบราณ เส้นแบ่งหลังสงครามโลก ประเทศเป็นแบบนี้ วัฒนธรรมเป็นแบบนี้ แล้ววัฒนธรรมผสมล่ะ วัฒนธรรมทางใต้

ถาม : ทำไมหนังสือจึงมีความสำคัญกับสังคมไทย

ตอบ : การอ่านไม่ได้สอนคนให้เรียนรู้ สอนแต่ให้เราเรียนจบรับปริญญา ทำงาน แต่งงานมีลูก เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเรียนจบแล้วก็ไม่ต้องอ่าน ก็เป็นเจ้านายโง่ๆ เลี้ยงลูกน้องโง่ๆถัดไปเรื่อยๆ เพราะทัศนะเรื่องการเรียนรู้มันไม่มี ทำไมญี่ปุ่น ฝรั่งอ่านเยอะ อ่านตลอดชีวิตเพราะมันไม่เชื่อว่ามันรู้ทุกอย่าง แต่คนไทยถูกทำให้เชื่อว่าจบได้ปริญญาแล้วเลิกอ่านได้แล้ว

หรือเขาอาจจะไม่เพลิดเพลินในการอ่าน นิยายทำได้ดีกว่า การถูกสอนให้รู้จักความรื่นรมย์ของเรื่องราว ต้องอ่านหนังสือเรียนให้จบก่อนถึงอ่านหนังสืออ่านเล่น หนังสืออ่านเล่นมันเลวอย่างไร ไม่เคยสอนเด็กว่าชอบอะไรไปทางนั้น อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี สังคมเราเป็นแบบนั้น เด็กโตมาโคตรไม่สนุก ในที่สุดก็มีประชากรที่อ่านหนังสือไม่แตก อ่านหนังสือไม่สนุก อ่านหนังสือไม่รื่นรมย์ เพราะว่าเขาไม่ได้อ่าน ป.อินปาลิต เล่นเกมส์ก็ไม่ได้ อ่านหนังสืออ่านเล่นก็ไม่ได้ ต้องอ่านแต่หนังสือเรียน ขอโทษหนังสือเรียนเขียนได้เลวมาก ไม่ได้สังคยานามาพันปีแล้ว เด็กเลยไม่ชอบอ่าน อ่านหนังสือเรียนแล้วมันจะอ้วก พออ่านหนังสืออ่านเล่นแล้วแม่ด่า เลยไม่อ่านเลย เป็นเยาวชนที่น่าสงสาร ไม่มีงานอดิเรก ไม่มีความสุข เกิดเป็นเด็กประเทศนี้น่าสงสาร ….

เมื่อบทสนทนาจบลง และเมื่อคุณอ่านจนจบ สำหรับบางคนเรื่องราวทั้งหมดนี้อาจจะไม่ได้สร้างการเรียนรู้ใหม่อะไรเลย สุ่มเสียงและสำเนียงที่ได้ยินได้ฟังคงคล้ายกับอารมณ์ตอนกำลังนั่งฟังแม่บ่นเรื่องราวในชีวิตประจำวันทั่วๆไป หากแต่ฟังให้ลึกซึ้งลงไปอีกสักหน่อย เราอาจจะเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด กับคำยากๆ ที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในหน้าฟีดเฟสบุ๊ค หากคุณสงสัยไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรหรือคำไหนในบทสนทนานี้ อยากให้คุณลองเสริชอินเทอร์เน็ตดู แล้วคุณจะพบเรื่องราวที่เป็นมากกว่าเรื่องเล่าจากปากต่อปาก..หลังจากนั้นคุณจะทำความเข้าใจหรือปล่อยมันทิ้งไป..ก็สุดแต่ใจจะปรารถนา..

Share Button

“อ่าน” เพื่อทำให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์

10 กว่าปีที่ผ่านมา โครงการอ่านสร้างชาติ ส่งต่อหนังสือบริจาคหนึ่งล้านกว่าเล่มกระจายไปยังห้องสมุดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย สิ่งสำคัญคือการคัดเลือกแต่ “หนังสือดีและมีประโยชน์” เท่านั้น ด้วยเชื่อว่าหนังสือดีๆสักหนึ่งเล่มจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าให้แก่ผู้อ่าน

การบริจาคหนังสือ จึงไม่ใช่เพียงเก็บหนังสือจากชั้นลงกล่องแล้วปิดผนึกส่งต่อมายังมูลนิธิฯ แต่ผู้บริจาคจะต้องพิจารณาหนังสือทุกเล่มเสียก่อนว่าเป็นหนังสือที่ดีและมีประโยชน์สำหรับผู้รับหรือไม่ด้วยตัวของผู้บริจาคเอง เพื่อสร้างวัฒนธรรมในการบริจาคหนังสือแบบใหม่ให้เกิดขึ้นในสังคม

หนังสือที่เข้ามาอยู่ในโกดังอ่านสร้างชาติมีทุกประเภท ทั้งหนังสือเรียน นิยาย วรรณกรรม นิทาน นิตยสาร สารคดี หนังสือพิมพ์ หนังสือภาพ และอีก นา นา ประเภทเกือบทุกแขนงของสิ่งพิมพ์บนโลกใบนี้ เช่นกันความต้องการหนังสือเพื่อนำไปบรรจุในห้องสมุดเล็กๆตามชนบท ส่งออเดอร์หนังสือมายังโครงการไม่ขาดสาย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปยังยุคดิจิตอลออนไลน์ รวดเร็วเพียงใด แต่ห้องสมุดขนาดเล็กในโรงเรียนตามชนบทห่างไกลยังขาดแคลน “หนังสือดีๆ” อีกกว่าหลายพันหลายหมื่นเล่ม

ในโกดังหนังสือขนาดใหญ่ ในทุกวันมีรถเข้าออกขนหนังสือที่ได้รับบริจาคจากทั่งสารทิศ ทุกเล่มผ่านมือของเหล่าคนทำงานคัดแยกหนังสือที่เป็นทั้งอาสาสมัครและคู่ค้า ที่กำลังช่วยกันคัดแยกหนังสือตามออเดอร์อย่างขมักขะเม้น เพราะพวกเขารู้ดีกว่ายังมีเด็กๆที่กำลังรอคอยอ่านหนังสือเหล่านี้อยู่ทั่วประเทศ และไม่ว่าจะย้ำกับผู้บริจาคว่าขอแต่หนังสือดีๆ บางครั้งก็ยังมีหนังสืออื่นๆหลุดรอดมาบ้าง ทางโครงการจะชี้แจงกับผู้บริจาคว่าหนังสือเหล่านั้นจะถูกคัดแยกเป็นขยะเพื่อนำไปขาย เปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้เป็นงบประมาณในการจัดส่งหนังสือไปยังห้องสมุดต่างๆ เพราะฉะนั้นหนังสือทุกเล่มถูกนำไปใช้ประโยชน์และสร้างเรื่องราวดีๆอีกมากมาย

ไม่ใช่แค่หนังสือบริจาคจากบ้านเรือน แต่ยังมีหนังสือใหม่ๆค้างสต็อคจากโรงพิมพ์ ที่นำมามอบไว้เพื่อรอการแจกจ่ายไปยังผู้อ่านที่ขาดโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เด็กบางคนไม่เคยอ่านหรือได้สัมผัสกับหนังสือนิทานปกแข็งเลยสักครั้งในชีวิต ทุกครั้งที่โครงการอ่านสร้างชาติสัญจรไปเปิดตลาดนัด หนังสือเล่มละบาทเมื่อไหร่ เราจะได้เห็นนักอ่านรุ่นเยาว์เลือกสรรหนังสือนิทาน การ์ตูนอย่างสนุกสนาน ประกายตาอันเจิดจ้านั้น คือผลสำเร็จของโครงการมากกว่าตัวเลขผลกำไรและขาดทุน

หนังสือเล่มละบาท ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเกินคุ้ม หนึ่งบาทของเด็กๆยากจนมีค่าเท่ากับข้าวปลาอาหารเพื่อความอิ่มท้อง เมื่อหนังสือทุกเล่มลดราคาเหลือเพียงเล่มละหนึ่งบาท การได้เป็นมีโอกาสเป็นเจ้าของหนังสืออ่านเล่นสักเล่มจึงเป็นความสุขที่ยากจะบรรยาย

เพราะเราเชื่อว่า “การอ่านทำให้คนเป็นคนโดยสมบูรณ์” เช่นคำกล่าวของ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาเมธีชาวอังกฤษ ที่กล่าวไว้ว่า “การอ่านเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ เพราะมนุษย์จะไม่สามารถเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบหากปราศจากการอ่าน”

และยิ่งไปกว่านั้น การฝึกฝนให้เด็กได้อ่านหนังสือตามวัยอันเหมาะสมจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดให้แก่เขา ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์ได้มีจินตนาการ ความคิด ความรู้ ส่งเสริมให้เด็กมีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางวุฒิภาวะและปัญญา เด็กจึงควรได้รับการสนับสนุนให้ “อ่าน” ตั้งแต่เยาว์วัยอย่างไม่มีข้อแม้ หากหนังสือในบ้านของท่านถูกปล่อยทิ้งให้เดียวดาย หาเพื่อนใหม่ให้เขาเถอะ หนังสือที่เก่าเก็บจะได้กลับมาสดใสร่าเริงอีกครั้ง และพบกับเจ้านายใหม่ผู้มีแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความฝัน

Share Button

“อ่าน” หนังสือไม่ใช่แค่อ่าน “หนังสือ”

ในวันหนึ่งที่ฉันพาตัวเองเข้าไปอยู่ในร้านกาแฟสี่เหลี่ยมผืนผ้าของมูลนิธิกระจกเงา ฉันพบกันชั้นหนังสือแผงใหญ่บนกำแพงทั้งสามด้าน สายตากวาดไปยังหนังสือนับพันเล่ม ที่ล้วนแต่เป็นหนังสือดีๆที่ได้รับบริจาคมาจากผู้อ่านใจดีทั่วประเทศ เพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย ของโครงการอ่านสร้างชาติ ฉันได้ยินชื่อเสียงและเป็นแฟนคลับของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ในช่วงสองสามปีหลังนี้ ติดตามรับฟังคลิปวีดิโอที่เผยแพร่อยู่ตามโซลเซี่ยลมีเดีย และตามไปฟังอาจารย์ตอบปัญหาต่างๆให้แก่ผู้คนตามรายการโทรทัศน์ ซ้ำยังตามอ่านบทสัมภาษณ์ในแง่มุมอื่นๆที่อาจารย์มักโยงมาเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนาได้อย่างแนบเนียน และเรียบง่าย แต่ฉันยังไม่เคยได้อ่านหนังสือเดินสู่อิสรภาพของอาจารย์
เลยสักครั้ง ในระหว่างที่ฉันกำลังเดินสำรวจและพิจารณาหนังสือนับพันเล่มบนชั้น พลันสายตาก็ไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนากว่าห้าร้อยหน้าที่มีชื่อเรื่องว่าเดินสู่อิสรภาพ มีภาพและชื่อของอาจารย์ประมวลอยู่บนหน้าปก มันแทรกตัวอยู่ในชั้นหนังสืออย่างเงียบเชียบ พอฉันละจากกำแพงด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ก็สบตากับหนังสือเล่มนี้อีก คิดในใจเมื่อเวลาถึงพร้อม ฉันคงได้อ่านหนังสือเล่มนี้สมใจ สอบถามพี่ๆเพื่อนๆถึงการขอยืมหนังสือไปอ่านก็ได้รับคำตอบว่าให้ยืมกลับไปอ่านที่บ้านได้ หลังจากหยิบหนังสือใส่กระเป๋ากลับบ้านฉันใช้เวลาเพียงสามวันเพื่ออ่านและอ่าน และตลอดสามวันของการอ่าน ฉันหยิบๆจับๆอ่านแล้ววางไม่ค่อยลง ด้วยเนื้อหาในหนังสือน่าติดตามและน่าค้นหาประหนึ่งว่าตัวฉันเองก็กำลังค้นหาอะไรบางอย่างจากการอ่านอยู่เช่นกัน

ระหว่างที่ฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง เดินสู่อิสรภาพ ของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ในช่วงท้ายๆน้ำตาก็พลันไหลโดยไม่รู้ตัว เชื่อว่าความปิติได้เกิดขึ้นและงอกงามในใจฉันแล้ว มันสงบ เงียบ ง่าย และงาม เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ใดภวังค์หนึ่ง ณ ขณะที่ลมหายใจกำลังเข้าออกโดยไม่ต้องภาวนาพุทธ โธ เพื่อกำกับสมาธิ

“สมาธิ” จากการอ่านช่วยให้ฉันค้นพบความจริงอันประเสริฐของชีวิต แม้เพียงชั่วครูชั่วยาม แต่มันก็สว่างกระจ่างแก่เนื้อตัวร่างกายอันยึดติดไม่ได้นี้ อาจารย์ประมวลพาฉันเดินทางผจญภัยไปกับท่านด้วย แม้ว่าที่ผ่านมาฉันถือว่าเป็นแฟนคลับของอาจารย์คนหนึ่ง อาศัยการฟังเป็นหลัก โดยถือว่าคำพูดทุกคำของอาจารย์นั้นผ่านประสบการณ์ และการกลั่นกรองมาหลายชั้นหลายขั้นตอนนัก แต่หากฟังง่ายและช่วยให้ตอบข้อสงสัยในใจในหลายประเด็นปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หมายถึงความเข้าใจในทางธรรมในขณะที่เราเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง

ทุกถ้อยคำที่อาจารย์ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในใจของฉันอย่างมากมาย บางช่วงบางตอน ฉันอ่านวนไปวนมาเพื่อทำความเข้าใจในหลักธรรมที่ปรากฏขึ้นจากความจริงที่อาจารย์ได้เดินทางไปพบเจอ ทุกคน ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไร้การตระเตรียม จัดวาง มันเป็นความบังเอิญที่พอดิบพอดี สิ่งสามัญธรรมดาที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำมีเพียงความหิว กระหาย ที่ร่างกายส่งสัญญาณให้รับรู้ เพียงเพราะร่างกายเป็นเพียงพาหนะนำพาเราไปสู่การค้นพบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ร่างกายไม่ได้ร้องขออะไรกับเรามากเพียงแค่การดูแลอย่างสมควร วันใดที่จิตเกิดความละโมภโลภมากซึ่งเกิดจากการปรุงแต่งของจิต เป็นความอยากที่เราไม่เท่าทันมันปรากฏขึ้นแบบมีเหตุมีผลและแนบเนียนเกินกว่าจะรู้ทัน เช่น ในวันที่อาจารย์เข็นตัวเองให้รีบเดินจากจังหวัดนครปฐมเพื่อไปยังราชบุรีเพื่อเลี่ยงการเดินบนถนนสายหลักที่มีรถพลุกพล่าน และเต็มไปด้วยมลพิษ เพื่อให้ถึงจุดเป้าหมายคือเพชรบุรีให้เร็วที่สุด ช่วงเวลานั้นร่างกายกลับประท้วงอย่างหนัก ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟในร่างกายแปรปรวนจนอาจารย์แทบเดินต่อไปไม่ได้ ครั้นเมื่อนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์ประดิษฐ์ อัตตมโนแห่งสำนักสงฆ์ชัยนาทวนาราม (วัดเขากระดี่) ที่ท่านกล่าวว่า

“ดูแลร่างกายนี้ให้ดี ยังต้องอาศัยร่างกายนี้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย” อาจารย์เขียนไว้ในหนังสือไว้ว่า คำเตือนนี้ทำให้สำนึกได้ว่า ตนเองได้ปฏิบัติต่อร่างกายอย่างหยาบคาย ทำให้เกิดความสำนึกผิด ผิดเหมืือนกับที่เคยขับรถแล้วเครื่องยนต์ดับมีความร้อนสูงเกินปกติ แต่ไม่ยอมหยุดรถ ในที่สุดเครื่องก็ดับ …

ฉันอ่านถึงประโยคนี้แล้วก็คิดถึงตัวเอง ที่่ผ่านมาเราเองก็ใช้ร่างกายแบบไม่ประนีประนอม แม้ว่าจะป่วยไข้ แค่ไหนเราก็เพียงอัดยาเข้าไปเพื่อหลอกให้ร่างกายรับใช้เป้าหมายอย่างไม่ได้หยุดพัก คิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกละอายแก่ใจ คิดได้เช่นนั้นก็ทำให้คิดได้ว่า เหตุผลที่อาจารย์ออกเดินในครั้งนี้ก็เพราะว่าการเดินเป็นขบวนการก้าวข้าให้พ้น

พ้นจากความรู้สึกเสียดาย..
พ้นจากความรู้สึกเกลียดชังต่อผู้อื่นที่ทำให้เป็นคู่แข่งขัน..
พ้นจากความรู้สึกกลัว ในความไม่แน่นอนต่างๆที่มีอยู่รอบตัว…

และการอ่านในครั้งนี้ทำให้ฉันเข้าใจความหมายของคำว่า ความเสียดาย ความเกลียดชัง และความกลัวในอีกมิติหนึ่งที่ลึกซึ้งขึ้น เพราะชีวิตของคนเรานอกจากเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วยังต้องเผชิญกับภาวะ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งคือมายาคติที่แต่ละคนปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ สุข สลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดชีวิต

หากจริงแท้สิ่งที่เราทุกคนต้องพบเจอในทุกวินาทีมีเพียงแค่ทุกข์และสุข ฉันคิดว่าวันใดที่วางเฉยได้นั้นหมายถึงว่าเราเข้าถึงหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเสียแล้ว แต่ก็ใช่ว่าใครทุกคนจะทำได้เพียงข้ามคืน สิบวันหรือยี่สิบปี และฉันคิดว่าขอค่อยๆทำความเข้าใจในชีวิตไปทีละส่วนอย่างมีสติให้ได้เสียก่อน

สิ่งที่อาจารย์วางใจและพูดถึงบ่อยครั้งในหนังสือเล่มนี้คือ “ความรัก” ในฐานะของคฤหัสถ์ ส่วนหนึ่งของชีวิตขับเคลื่อนด้วยพลังของความรัก รักภรรยา รักมิตรแปลกหน้า รักสัตว์ รักธรรมชาติ ทุกอย่างกระจ่างชัดเจน และเข้าใจง่าย การเข้าถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องบวช แต่ทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมะได้จากการค้นพบจุดเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆระหว่างวัน และทุกเรื่องราวมีเหตุปัจจัยหนุนนำ และความรักในเพื่อนมนุษย์เป็นพื้นฐานที่อยู่ในใจของทุกผู้คนอยู่แล้ว หากปราศจากความกลัวเสีย ช่องว่างของความหวาดระแวงจะลดน้อยลง และสังคมก็คงสงบสุขมากยิ่งขึ้น

มีหลายอย่างที่อธิบายไม่ได้หลังเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง อาจจะเพราะด้วยสติปัญญาและความรู้ที่สั่งสมมายังไม่ถึงพร้อม แต่ฉันรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้มีโอกาสอ่านจนจบ แม้ว่างานการจะรัดตัว และยังมีธุระปะปังมากมายในชีวิต แต่ฉันอยากใช้ชีวิตให้ละเอียดขึ้น อย่างน้อยการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้สมองและร่างกายได้พักผ่อน แถมจิตใจอันเร่งรีบก็สงบงามขึ้นในทุกบรรทัดจนจบเล่ม.. ไม่มีข้อสงสัยในการข้อค้นพบใดๆของอาจารย์เพราะทุกเรื่องราวในชีวิตเป็น “ปัจจัตตัง” ซึ่งมีหมายความว่า สภาวธรรมหนึ่งที่บรรลุนั้น จะจริงแท้อย่างไร จะสงบเย็นแค่ไหน ก็รู้ได้เฉพาะตน(เท่านั้น)

สำหรับฉันจากได้รับการส่งต่อหนังสือเล่มนี้ โดยไม่ต้องเสียทรัพย์ จากใครสักคนที่ไม่รู้จักมาก่อน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหากเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็กำหนดขึ้นในใจของฉันมายาวนาน ว่า “อยากอ่าน” จนวันหนึ่งก็ “ได้อ่าน” อย่างง่ายดาย ถึงพร้อมทั้งเวลาและความรู้สึก.. หนังสือเดินสู่อิสรภาพ จึงให้ความหมายในใจฉันเท่ากับการ “ให้” โดยไม่หวัง(รับ)สิ่งตอบแทน และฉันจะเอาหนังสือไปคืนที่ชั้นวางตามเดิม เพื่อรอคอยนักอ่านคนต่อไป…และให้หนังสือเล่มนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

Share Button

“เพื่อนยาก” (Of Mice and Men) “จอห์น สไตน์เบ็ก” วรรณกรรมดีเด่นของนักเขียนรางวัลโนเบลประจำปี ค.ศ.1962 “เราทุกคนมีเพื่อน แต่จะมีสักกี่คนที่เป็น…เพื่อนแท้”

ตั้งแต่เด็ก ๆ มาแล้ว ฉันเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะมาก เรียกว่าเยอะจนนับไม่ถ้วนว่ามีกี่คนกันแน่ ฉันมีเพื่อนหลายกลุ่ม หลายก๊ก หลากนิสัยใจคอ หลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยอนุบาล สมัยประถม สมัยมัธยม สมัยมหาวิทยาลัย สมัยทำงาน ซึ่งเมื่อเปลี่ยนที่ทำงานก็ย่อมมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ยังไม่รวมเพื่อนของเพื่อน ของเพื่อน ซึ่งในแต่ละวันหยุด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันของเพื่อน แทบไม่มีวันของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
แต่พอโตขึ้น ได้เห็นโลกมากขึ้น ได้เรียนรู้คนมากขึ้น ฉันจึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้วชีวิตเรามีเพื่อนไม่เยอะหรอก ที่เราคิดว่าเยอะนั่นไม่ใช่เพื่อน แต่นับรวมเอา “คนรู้จัก” มาไว้ด้วย เพราะความหมายของคำว่า “เพื่อน” นั้น ไม่ใช่แค่คนที่ไปกินไปไปเที่ยวด้วยกัน หรือติดต่อสื่อสารกันเป็นประจำเท่านั้น

แต่ความหมายของคำว่า “เพื่อน” ลึกซึ้งเกินกว่านั้น..

หลังผ่านการถูกหักหลังจากเพื่อนที่รักคนหนึ่ง ที่ฉันนับเขาเป็นเพื่อนรัก มารู้อีกทีว่าฉันไม่ใช่ความหมายของคำว่า “เพื่อน” สำหรับเขา ก็วันที่สายไปแล้ว และในช่วงเวลาเดียวกัน ฉันก็ได้สูญเสียเพื่อนรักคนหนึ่งด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตกเขาระหว่างการเดินทางไปจังหวัดน่าน โลกของฉันถล่มทลายลงในเวลาเดียวกัน ความเจ็บปวดเสียใจโถมซัดอย่างไม่ปราณี เพื่อนคนหนึ่งจากเป็น…อีกคนจากตาย นับจากนั้นมันทำให้ฉันระแวดระวังในความสัมพันธ์ต่อผู้คนที่อยู่รอบข้าง และเริ่มแยกแยะคำว่า “เพื่อน” และ “คนรู้จัก” ออกจากกันได้ อย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมันมาก่อน

แต่ก็นั่นแหละนะ … เรามักจะคิดอะไรบางอย่างได้ ก็เมื่อได้ความเจ็บปวดได้ละเลงและทิ่มแทงจนพรุนไปแล้วทั้งด้วยกันทั้งนั้น

ช่วงนั้นฉันใช้เวลาว่างในวันหยุดด้วยการเข้าร้านหนังสือ อ่านหนังสืออย่างเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อไม่ต้องคิดถึงการสูญเสีย แทนการนัดกินเที่ยวกับเพื่อนเหมือนที่เคยทำ และหนังสือแปลเล่มเล็กกะทัดรัดที่ชื่อ “เพื่อนยาก” (Of Mice and Men) ผลงานของนักเขียนชาวอเมริกันอย่าง “จอห์น สไตน์เบ็ก” ก็ได้เข้ามาเยียวยาความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้น

“เพื่อนยาก” (Of Mice and Men) คือวรรณกรรมดีเด่นที่แปลเป็นภาษาต่าง ๆ มาแล้วหลายประเทศทั่วโลก และได้ตีพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2513 เรื่องราวเล่าถึงมิตรภาพของชายหนุ่มสองคนที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งคือชายร่างเล็ก เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง ฉลาด และเป็นนักวางแผน เขาชื่อ “จอร์จ มิลตัน” อีกคนคือ “เลนนี่ สมอลล์” ชายร่างใหญ่ไซส์ยักษ์พละกำลังมหาศาล ผู้พิการทางปัญญา เชื่องช้าและงุ้มง่าม แต่มีโลกที่ใสบริสุทธิ์ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ฉันหยิบเล่มนี้ขึ้นมาเพราะสะดุดตาชื่อหนังสือ “เพื่อนยาก” ชื่อที่ดูเหมือนจะตั้งง่าย ๆ แต่ฟังแล้วลึกซึ้งกินใจ และเมื่อพลิกอ่านเนื้อหาบนปกหลังที่ห่อหุ้มพลาสติกใสเอาไว้ ฉันก็ตัดสินใจควักเงินซื้อทันทีอย่างไม่ลังเล

“แก่นแท้แห่งมิตรภาพพึ่งพา
ความใฝ่ฝันร่วมกันถึงที่ดินทำกิน
และชีวิตวันพรุ่งที่ดีกว่า
ท่ามกลางความแล้งไร้ จิตใจหยาบเขลา
ฤามนุษย์คิดเพียงแค่จะเอาตัวรอด
ตลอดกาล”

“เพื่อนยาก” (Of Mice and Men) เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “จอร์จ มิลตัน” และ “เลนนี่ สมอลล์” ผู้ชายสองคนที่มีความแตกต่างกันทั้งร่างกายและความคิด หากแต่ลึก ๆ แล้วพวกเขามีความใฝ่ฝันที่คล้ายกัน นั่นก็คือชีวิตที่เป็นอิสระและมีความสุข ทั้งคู่ออกเดินทางเร่ร่อนหางานทำไปเรื่อย ๆ ตามชะตากรรมของผู้ยากไร้ หลังได้เข้าไปเป็นคนงานที่ไร่แห่งหนึ่ง ทำให้พวกเขามีความหวังและความฝันคุโชนขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่จะตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อไร่ของตัวเองให้ได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง พวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที หากแต่เรื่องราวมันไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่คนต่ำต้อยด้อยค่าในสังคมวาดหวัง เมื่อการอยู่รวมกันกับผู้คนอีกมากมายภายในไร่แห่งนั้น ผู้คนซึ่งมีความคิดอ่านแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกชายเจ้าของไร่อย่าง “เคอร์ลีย์” ที่ชอบหาเรื่องคนไปทั่ว หรือเมียของเขาที่ชอบหว่านเสน่ห์กับคนงานในไร่ “ผู้เฒ่าแคนดี้” ชายชราผู้เป็นภารโรงของไร่ พิการแขนด้วนและมีสุนัขชราพิการเป็นเพื่อนคู่ใจ หรือคนงานผิวสีอย่าง “ครุกส์” ที่ยอมจมชีวิตของตนอยู่กับความด้อยศักดิ์และสิทธิ์ที่เจ้าตัวน้อมรับโดยดุษฎี เรื่องราวร้อนระอุที่ไร่แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ “เลนนี่ สมอลล์” ได้พลั้งมือฆ่าเมียของ “เคอร์ลีย์” ตาย ก่อนจะหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เหมือนเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่กลัวพ่อแม่จับได้เมื่อทำความผิด “เคอร์ลีย์” โกรธแค้นและหมายเอาชีวิต “เลนนี่ สมอลล์” ให้ได้ เขาระดมคนงานทั้งไร่ออกตามหา และสุดท้ายชายร่างยักษ์พิการปัญญาก็ถูกยิงตาย หากแต่ผู้ลั่นกระสุนไม่ใช่ “เคอลีย์” แต่เป็น “จอร์จ มิลตัน” เพื่อนยากของ “เลนนี่” นั่นเอง

กระสุนนัดนั้นของ “จอร์จ มิลตัน” ได้ทั้งฝังร่างและปลดปล่อยเพื่อนร่างยักษ์ของเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน และความหวาดกลัวแสนสาหัส ดั่งลาวาที่กำลังจะระเบิดออกมาในไม่ช้า แต่มันเป็นกระสุนนัดเดียวกันที่ทำให้ “จอร์จ มิลตัน” เหมือนคนตายทั้ง ๆ ที่ยังหายใจ เขาได้สูญเสียเพื่อนคนเดียวในชีวิตไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ…

อะไรที่ทำให้ “จอร์จ มิลตัน” ต้องจบชีวิตเพื่อนรักของเขาด้วยมือตัวเอง เหตุผลที่อ่านแล้วสะเทือนอารมณ์ในซีนนี้ทำเอาฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และสะอื้นไห้เหมือนตัวเองกำลังเป็น “จอร์จ มิลตัน” ฉันไม่ควรเล่าทั้งหมดในตรงนี้ เพราะเหตุผลที่ “จอร์จ มิลตัน” ทำ ควรเป็นเหตุผลที่คนอ่านควรจะได้ซึมซับรับรู้ด้วยตนเอง

บางส่วนบางตอนที่ “จอร์จ มิลตัน” ได้พูดไว้กับ “เลนนี่ สมอลล์” แม้จะเป็นไดอะล็อกง่าย ๆ แต่มันลึกซึ้งกินใจสำหรับฉันไม่น้อย และยังชอบทุกครั้งที่ได้อ่าน

“เราไม่เหมือนคนงานพวกนั้น เรามีอนาคต เรามีคนที่จะพูดคุยด้วย เราไม่ต้องไปพึ่งบาร์เพื่อกินเหล้า เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน” และ….

“มีไม่กี่คนนักหรอกที่ร่อนเร่พเนจรไปที่ไหน ๆ ด้วยกัน ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่อาจเป็นเพราะโลกบ้า ๆ นี้ คนต่างกลัวกันและกันนั่นเอง”

“จอห์น สไตน์เบ็ก” ผู้เขียน “เพื่อนยาก” ไม่ได้แค่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน หรือการต่อสู้ดิ้นรนของสองหนุ่มผู้ยากไร้นี้เท่านั้น เขาได้กล่าวเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้เอาไว้ว่า “เนื้อในมนุษย์ล้วนขาดพร่องด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล้วจึงต่างต้องเสาะหาส่วนที่ขาดหายเติมใส่ชีวิตตนเพื่อมิให้แห้งเหี่ยว เปลี่ยวเหงา แต่เอาเข้าจริงแล้วจะไปหามาจากไหน ในเมื่อมนุษย์เราแต่ละคนต่างมีข้อจำกัด ดังนั้นมีก็แต่จำต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนร่วมโลกที่ขาด ๆ เกิน ๆ พอกันแก้ขัด ด้วยอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีใครเอาเสียเลย”

สิ่งที่ฉันได้จากการอ่าน “เพื่อนยาก” คือการเข้าใจความหมายของคำว่า “เพื่อน” มากขึ้น…เพื่อนไม่จำเป็นต้องนิสัยเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องคล้อยตามกันทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมาจากฐานันดรที่เท่าเทียมกัน ฐานะเท่ากัน ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ๆ หากแต่ “เพื่อน” ต้องเป็นคนที่มีความ “จริงใจ” ต่อกัน เพราะคำว่าจริงใจคำเดียวนี่เองที่จะทำให้เรามีคุณค่าสมกับการมี “เพื่อน” และเราเองก็อยากจะเป็น “เพื่อนยาก” สำหรับใครสักคนด้วยเหมือนกัน

ฉันอ่านเรื่อง “เพื่อนยาก” จบไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง หยิบจับจนกระดาษชำรุดและเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายหนังสือเล่มนี้ที่ซื้อมาเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่สามารถใช้งานได้อีก และตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ฉันจะชอบ “เพื่อนยาก” มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่ได้หาเล่มใหม่มาทดแทนเสียที เพราะที่ผ่านมาฉันเฝ้าแต่จมอยู่กับการคิดถึงเพื่อนรักที่ฉันได้สูญเสียไปแล้วทั้งสองคน คนหนึ่งจากเป็น อีกคนจากตาย…

แต่มาวันนี้ ฉันได้ตัดสินใจสั่งซื้อหนังสือ “เพื่อนยาก” ผ่านทางเว็บไซต์หนังสือแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉันสัมผัสได้ว่า ฉันมีเพื่อนแท้ และเพื่อนยากอยู่ในชีวิตหลายคน และก็หวังอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความแนะนำหนังสือเล่มนี้ ได้ลองอ่านหนังสือชื่อ “เพื่อนยาก” นี้ดู แล้วคุณจะหลงรักมัน และได้รู้คุณค่าและความหมายของคำว่า “เพื่อนยาก” มากยิ่งขึ้น

ชื่อหนังสือ : เพื่อนยาก (Of Mice and Men)
ผู้เขียน : จอห์น สไตน์เบ็ก (John Eenst Steinbeck)

Share Button