ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม ด้วยการ “บริจาค”

ทุกโครงการของมูลนิธิกระจกเงา เกิดขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและพยายามลดช่องว่าง และความเหลื่อมล้ำให้ลดน้อยลง เพื่อหวังว่าสักวันประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมกัน

 

แต่ดูเหมือนว่า ความฝัน จะดูไกลห่างจากความเป็นจริง วันนี้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามข้อมูลของ  CS Global Wealth Report 2018 ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าเป็นห่วงเป็นกังวลยิ่งนักว่า เรากำลังเดินถอยหลังกลับไปสู่ยุคแห่งความมืดมน ข้าวยากหมากแพง คนจนก็จนยาก ส่วนคนรวยก็ยิ่งร่ำรวยสะดวกสบาย กลายเป็นสังคมแห่งชนชั้นอย่างชัดเจน

 

“คนไทย (adult) 1% แรก (5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปีนี้ (2018) 1% มีเพิ่มเป็น 66.9% รวยมากขึ้น …แซงรัสเซียที่ลดจาก 78% เหลือแค่ 57.1% ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกีมาแรงทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไม่ดีแต่คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น 54.1% แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก 58.4% เหลือแค่เพียง 51.5% ส่วนคนไทยที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0%  ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะพ่วงหนี้สินไว้ด้วย เป็นตัวเลขที่สะท้อนว่า คนครึ่งประเทศเป็นพวก “หาเช้ากินค่ำ” หรือไม่ก็ “เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม”

 

อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์ “รวยกระจุก จนกระจาย” ที่เกิดขึ้นนี้ เพราะประเทศไทยยังไม่สามารถไปถึงการเป็นรัฐสวัสดิการได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องดิ้นรนทำมาหากินตามอัธภาพ ส่วนใหญ่ยากจน ขาดการศึกษาและเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานทางการศึกษาและการรักษาพยาบาล

 

ทุกครั้งของการลงพื้นที่ในทุกโครงการ เราเห็นช่องว่างที่รอการเชื่อมต่อ ที่นับวันยิ่งถ่างออกไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมในปัจจุบัน เรายังเห็นเด็กไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียน เด็กไร้สัญชาติตามตะเข็บชายแดน และเด็กที่ยังขาดสารอาหาร อยู่ในครอบครัวที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการรัฐในทุกประเภท มีชีวิตอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตาย และความอดอยากปากแห้ง

 

บ้างเป็นครอบครัวล่มสลายในทันทีหลังจากหัวหน้าครอบครัวประสบอุบัติเหตุ หรือล้มป่วยเป็นผู้ป่วยติดเตียง ขยับตัวทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้อีกต่อไป การช่วยเหลือจึงไม่เคยเพียงพอ และยังไม่ทั่วถึงสำหรับทุกคนที่กำลังประสบกับปัญหาในชีวิตที่หลากหลาย

 

มูลนิธิใช้ของบริจาคจากทุกท่าน เป็นตัวแทนเข้าไปทำความรู้จักชีวิตอันแสนยากเข็ญของทุกคนทุกบ้าน ใช้ผ้าอ้อมเป็นใบเบิกทางเพื่อสร้างความคุ้นเคยสบายใจให้กับผู้ป่วยติดเตียงทุกคน ใช้หนังสือเป็นสื่อในการสร้างความคิดและทัศนคติใหม่ๆให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกรุงเทพมหานคร ใช้ข้าวสาร อาหารแห้ง และเสื้อผ้า แทนความรู้สึกห่วงใยจากผู้บริจาคทุกท่านเพื่อให้พวกเขาได้รับรู้ว่า ภายใต้สังคมที่เหลื่อมล้ำ สูงต่ำ รวยจน ยังมีน้ำใจไหลหลากมาที่นี่เสมอ ณ มูลนิธิกระจกเงา “เราเชื่อว่า สักวัน ข้าวของบริจาคมือสองจากทุกท่าน จะช่วยลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำดำขาว ให้เท่าเทียมกันได้ในสักวัน”

 

Share Button

ให้ 1 วันของคุณคือช่วงเวลาของการแบ่งปันในวันข้ามปี

ในรอบ 365 วัน เราให้เวลาตัวเองแค่ไหน เราแบ่งเวลาให้คนอื่นแค่ไหน เวลาในหนึ่งวันของคนเรามีเท่ากัน แต่ต่างกันตรงที่ใช้มันไปอย่างไร

 

วันหยุดยาวช่วงปีใหม่ หลายคนอาจเลือกพักร่างจากการทำงานหนักในรอบปี บางคนออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อให้รางวัลตัวเอง หรือตั้งใจเฉลิมฉลองความสุขกับคนที่เรารัก

ความสุขที่แท้จริงคืออะไรกันแน่? แน่นอนว่าความสุขของคนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน จึงเกิดคำถามอยู่
เสมอๆ ว่าแล้วต้องทำอย่างไรคนเราถึงจะมีความสุขที่แท้จริงได้

มีสุภาษิตจีนกล่าวถึงเรื่องของความสุขไว้ว่า…

“ถ้าอยากมีความสุขในหนึ่งชั่วโมง ให้นอนหลับสักงีบ

ถ้าอยากมีความสุขในหนึ่งวัน ให้ออกไปตกปลา

ถ้าอยากมีความสุขในหนึ่งปี ให้รับมรดกสักก้อน

ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ให้ช่วยเหลือผู้อื่น”

การช่วยเหลือผู้อื่นในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ขึ้นอยู่กับใจเรามากกว่า ขอให้นึกถึงในยามที่เราได้ลงมือช่วยเพียงเพราะแค่อยากช่วยเท่านั้น ในตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไร?

คำตอบคือ เราเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นในใจตัวเอง ความภาคภูมิใจ อิ่มเอมใจ ความปลาบปลื้มใจ และที่ขาดไม่ได้เราจะมีรอยยิ้มให้ตัวเอง รวมทั้งรอยยิ้มของคนที่เราได้ลงมือช่วยเหลือเป็นของขวัญตอบแทนมาด้วย

 

มูลนิธิกระจกเงาขอชวนคุณมาช่วยงานในช่วงวันหยุดยาว ใช้เวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เพื่อคนอื่น ด้วยการเป็นอาสาสมัคร (Volunteer) ช่วยเหลืองานต่างๆ ในมูลนิธิฯ เช่น ช่วยขนย้ายสิ่งของและต้อนรับผู้บริจาค ช่วยคัดแยกประเภทหนังสือ คัดแยกสิ่งของบริจาคให้เป็นหมวดหมู่ ช่วยเช็คอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ตามแต่จะมีงานต่างๆ ให้ช่วย

 

ใครกำลังมองหาและต้องการยกเวลาที่มีค่าของตัวเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม มูลนิธิกระจกเงาขอขอบคุณด้วยความยินดี…แล้วคุณจะพบว่างานอาสาสมัครได้อะไรมากกว่าที่คิด.

 

Share Button

เทศกาลแบ่งปันข้ามปี…ความสุขที่ทุกคนสัมผัสได้

ร่วมนับถอยหลัง..ไปสู่วันสิ้นปี

5 4 3 2 1  ก่อนพลุสีสันสวยงามจะอร่ามทั่วท้องฟ้า

เสื้อผ้า ของเล่น เครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา ผ้าห่ม และข้าวของเหลือใช้ประดามี

จะถูกคัดสรรลงกล่อง ใส่ถุง .. ตระเตรียมเพื่อส่งต่อให้ผู้คนที่รอคอย

 

วันหยุดยาวช่วงปีใหม่..เจ้าหน้าที่บางส่วนสแตนบายด์รอผู้บริจาคไม่ถอยหนี

เรารู้ดีว่า ..สิ้นปีใครหลายคนอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการ “ให้”

อาสาสมัครบางคนใช้เวลาวันหยุดยาวไปกับดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริจาค

ช่วงเวลาสิ้นปีจึงมีความหมายมากกว่าแค่การพักผ่อน หรือเลี้ยงฉลองเพื่อรอการข้ามปีอย่างมีความสุข

บางคนยอมแลกเวลาว่างด้วยคำง่ายๆสามคำ สงบ เรียบง่าย และเป็นประโยชน์

และไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่ คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งปันความสุขได้

 

มูลนิธิกระจกเงาขอทำหน้าที่ส่งความสุขข้ามปี..

ด้วยการส่งมอบของบริจาคทุกชิ้นของทุกท่าน

ไปยังโรงเรียนบนดอยสูง เด็กป่วยในโรงพยาบาล

ผู้คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ผู้ป่วยติดเตียง และเด็กไร้เดียงสา

 

เราจะไม่ทิ้งใครให้สิ้นหวังและเดียวดายในช่วงเวลาแห่งความสุขเช่นนี้

ขอเชิญมาร่วมบริจาคเพื่อแบ่งปันในวันข้ามปี

และร่วมสร้างความทรงจำที่ดีที่สุดของปี 2561

ด้วยการแบ่งปันข้ามปีไปกับเรา “มูลนิธิกระจกเงา”

 

Share Button

ลดขยะที่ใจ .. ลดขยะที่กาย ลดขยะให้โลก

“มีขยะไหมคะ” เด็กน้อยตัวจิ๋วร่างปุ๊กลุกขนาดกอดกำลังพอดี สูงไม่เกินห้าสิบเซ็นติเมตร

กึ่งเดินกึ่งลากถุงพลาสติกใสถามไถ่ขอขยะจากพ่อค้าแม่ค้า ไปทั่วตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ณ สวนครูองุ่น

 

หากสังเกตด้วยตาเปล่า ปลายถุงพลาสติกใสบรรจุแก้วพลาสติก ขวดน้ำดื่ม ไว้เพียงเล็กน้อย

 

เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เข้ามาเยี่ยมเยียน ซื้อขายในพื้นที่นี้ กว่าหลายร้อยคนต่อวัน

จำนวนขยะที่เหลือให้เห็น ก็เรียกว่าน้อยนิด จนพิจารณาได้ว่ามีขยะกี่ชนิด และจำนวนกี่ชิ้นกี่ใบ

ส่งผลให้การคัดแยกประเภทขยะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง ทุกอย่างก็เสร็จสรรพ

 

ชีวิตของทีมงานเบื้องหลังเมื่อจบงานมหกรรมแห่งผู้คนหลากชนชั้นวัฒนธรรม

จึงลดความเหนื่อยล้า เหนื่อยใจ และมีความสุขขึ้นอีกมากโข ..

 

อาจเป็นงานแรกๆ ที่มีการจัดเตรียมพื้นที่ให้กะละมังสำหรับล้างถ้วยล้างจาน แถมยังถูกบรรจุที่ทางไว้ในแผนผังงานอย่างจริงจัง

 

ด้วยความตั้งใจเดียวอันแน่วแน่ในการเปิดตัวตลาดนัด อาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ในเมืองใหญ่

คือ “ตั้งใจ” ให้เป็นตลาดที่ปลอดจากขยะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม..แต่ด้วยความไม่เคยชิน

เมื่องานจบลง จึงยังมีขยะหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง…แต่ก็ถือว่าน้อยมากแล้วในความทรงจำ

 

ด้วยครูองุ่น มาลิก แบ่งปันพื้นที่สวนในบ้านให้เป็นพื้นที่สาธารณะ เป็นสวนสวยที่มีจิตใจกว้างขวาง..

เปิดรับทุกผู้คนด้วยความเมตตา เป็นมิตร และไม่เลือกชนชั้นสูงต่ำ ดำขาว

 

ไยคนแปลกหน้า..ที่มาขออาศัยร่มเงาอันร่มเย็นเช่นพวกเราจะไม่ให้การเคารพในพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

ห้องน้ำห้องท่า ถูกจัดเวรทำความสะอาดทุกชั่วโมง ด้วยสัญญาใจต่อกันของทุกร้านค้า ที่ต้องทำหน้าที่สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำความสะอาดเหมือนดั่งบ้านของตัวเอง เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ

ให้สวนยังคงความสะอาดเหมือนเดิม ก่อนที่ทุกคนจะเหยียบย่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่คณะรักเร่ทุกคนกล่าวย้ำตรงกัน  ณ วันแรกที่รู้ว่า สวนครูองุ่นคือจุดหมายปลายทางของการเร่ในครั้งต่อไป..

 

ก่อนเริ่มงานหน้าเพจหนูโจ อาร์ตแอนด์ ฟาร์ม เชิญชวนให้ทุกคนหันมาใส่ใจและรับผิดชอบในตัวเอง

โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การคิดค้นวิธีลดขยะ ก่อนพาตัวเองมาถึงตลาด

 

เป็นการทบทวนตัวเองอย่างง่ายๆ ก่อนออกจากบ้าน ต้องพกขวดน้ำ กล่องข้าวและถุงผ้า ถ้าหากถูกใจผลิตภัณฑ์ชิ้นไหน ต้องไม่เรียกร้องขอถุงบรรจุภัณฑ์ และพร้อมที่รับข้าวของเหล่านั้น มาเก็บไว้ในถุงผ้าหรือภาชนะที่เตรียมมาด้วยความเต็มใจ ร้านค้าก็เช่นกัน ทั้งผลิตภัณฑ์และหีบห่อต้องก่อให้เกิดประโยชน์และสามารถใช้ซ้ำได้ไม่รบกวนธรรมชาติจนเกินพอดี

 

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลงลืมพกขยะเข้ามาในงาน ลูกค้าทุกคนสามารถส่งคืนขยะของคุณฝากไว้กับพ่อค้าแม่ค้า

ที่เป็นเช่นนี้..เพื่อฝึกการคิดถึงคนอื่น และเพื่อให้เกิดจิตสำนึกว่า ขยะนั้นเป็นภาระที่ผู้อื่นต้องแบกรับแทนเรา

และนั่นคือความจริง และความเป็นจริงที่มากกว่านั้นคือธรรมชาติและโลกกำลังเป็นผู้แบกรับภาระเหล่านี้อยู่ด้วยความไม่เต็มใจ

 

“การลดขยะ” จึงต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน ผ่านการฉุกคิดและทบทวน ด้วยจิตใจอันละเอียดอ่อนต่อขยะหนึ่งชิ้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือเรา นำไปสู่การปฏิบัติที่กาย ให้กายคุ้นชินกับการไม่ทิ้งอะไรง่ายๆออกจากมือ และคำนึงถึงผลที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่นและโลก

 

ให้ขยะหนึ่งชิ้นสอนชีวิตให้รู้จักการใช้ทรัพยากรให้เกิดคุณค่ามากที่สุด

 

ให้การทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีคุณค่ามากกว่าแค่การทำให้สูญหายไปเมื่อหมดคุณค่า

 

และเพื่อทำความรู้จักกับวัฒนธรรมแห่งการไม่ผลิตขยะเพิ่ม จนกลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันเฉกเช่น การแปรงฟัน

อาบน้ำและส่องกระจก

 

เพื่อให้ “แฟชั่นแห่งการรับผิดชอบในตัวเอง” เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และสร้างแก่นแท้แห่งชีวิตของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคน สัตว์ ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล ผืนดิน และพลาสติก อย่างสมดุลและไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

 

“ตลาดปลอดขยะ”  จึงเป็นเพียงการเริ่มต้นในการสร้างพื้นที่ทดลองเพื่อปลอบประโลมโลกที่หนักอึ้งให้คลายความกังวลลงบ้าง ดีที่สุดแล้วเท่าที่มนุษย์หลายร้อยคนในพื้นที่  250 ตารางวา ตลอดระยะสองวันจะทำได้..

 

Share Button

ชีวิตนั้นสัมพันธ์..ผู้คน ฟ้าฝนและเสียงดนตรี

เรียนครูองุ่น มาลิก ที่เคารพ

 

ครั้นเมื่อเจตนารมณ์ของครูองุ่น มาลิก พัดปลิวไปไกลถึงสมุทรสงคราม ..

หมุดหมายของการใช้ชีวิตของพวกเราจึงไม่จำกัดอยู่แค่เพียงกิน อยู่และหลับนอน ใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลเมือง

ในฐานะคณะผู้จัดทำชีวิตให้สัมพันธ์กับธรรมชาติและศิลปะ นามหนู โจ อาร์ตแอนด์ฟาร์ม เราไม่เคยเดียวดาย

 

วันหนึ่งขณะเร่ขายของเพื่อทดลองใช้ชีวิตหากินชั่วคราวข้างถนน ท่ามกลางแดดร้อนและเพื่อนพ้อง

พลันความคิดเรื่องการเร่เข้าเมืองหลวงก็ทรงอิทธิพลจนทุกคนอดใจไม่ไหว

รายชื่อถนนในเมืองถูกนำเสนอไม่ขาดสาย ..ไม่มีที่ทางใดสะดุดใจเท่ากับ “สวนครูองุ่น”

กลางทุ่งคอนกรีตแห่งเมืองทองหล่อ .. พื้นที่ทุกตารางนิ้วแพงระยับ..เรารู้ดี

 

ข้าวของทำมือ งานศิลปะ ผ้าผ่อนหม่อนไหม ผู้คน พ่อค้าแม่ขาย

ปรากฏกายบนพื้นที่สีเขียวในภาพฝันตอนกลางวันแดดจ้า

หากทุกอย่างเป็นความจริง..ชีวิตคงไม่สำคัญไว้เพียงแค่ข้างทางอย่างใจคิด

 

ไม่นานเกินรอ .. เมื่อมูลนิธิกระจกเงา ในฐานะผู้รับดูแลสวนครูองุ่นตอบรับคณะรักเร่หนูโจ อย่างเป็นทางการ

การประกาศเจตนารมณ์หาเพื่อนร่วมทางจึงเกิดขึ้น..

เพียงชั่วข้ามคืนห้างร้าน แลผู้คนอันมีใจปรารถนาในสิ่งเดียวกัน

ส่งจดหมายสมัครออนไลน์แบบล้นหลาม มากกว่าครั้งไหนๆเป็นประวัติการณ์

เพราะกติกาการใช้ชีวิตสัมพันธ์ไม่ได้มีรูปแบบเพียงการขายเพื่อที่จะขาย..

แต่แฝงกุศโลบายเพื่อให้ทุกคนเคารพ เรียนรู้ และแบ่งปันลมหายใจให้กับทุกสรรพสิ่ง

 

และ “สวนครูองุ่น” ทำหน้าที่รองรับทุกจังหวะของลมหายใจอันหลากหลายได้อย่างกลมกลืน

โดยมีทุกคนเป็นผู้บรรเลง

 

ถึงแม้ว่าฝนฟ้าจะไม่เป็นใจตอนเที่ยงวัน สิบนาทีที่ทุกคนยืนหลบฝนในร่มคันเดียวกัน..

มันลดทอนความละโมบโลภมาก และการคิดถึงเป้าหมายอันเรียกว่ากำไร ขาดทุน

เราทุกคนเชื่อว่า..ครูองุ่นใช้ธรรมชาติวัดใจเราและสอนให้เว้นว่างจากการค้าขายเพื่อเรียนรู้โลกของเพื่อนที่เปิดร้านอยู่เคียงข้าง

 

และเราตระหนักร่วมกันแล้วว่าบนพื้นที่ 250 ตารางวา บรรจุสังคมอุดมคติที่ครูพยายามสร้างไว้ และพิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นว่า “การให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นเป็นเรื่องจริง

 

ร้านรวงกว่าเจ็ดสิบร้าน เปิดตลาดกันแต่เช้าตรู่ เริ่มต้นบทเพลงแห่งชีวิตสัมพันธ์ด้วยรอยยิ้ม

และจบบทเพลงด้วยประโยคสุดท้าย.. “ต้นไม้งาม คนงดงาม งามน้ำใจ ไหลเป็นสายธาร ชุบชีวิต ทุกฝ่ายเบิกบานมีคน มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า”  พลันกระรอกตัวน้อย ตัวแทนสัตว์ป่าคอนกรีตกระโดดจากกิ่งไม้ไปยังหลังคาเวทีเหมือนนัดหมายกันไว้

 

เย็นมากแล้วแต่เสียงเพลงแห่งชีวิตยังดำเนินต่อไปตามท่วงทำนองเพลงกลองยาว นำทีมร่ายรำโดยคณะรักเร่

ชักชวนเพื่อนพี่น้องร่วมปิดตลาดท่ามกลางเสียงหัวเราะ ชื่นมื่น ..

 

สุดท้ายนี้..ในความบังเอิญที่ลงตัว ไม่ว่าจะคน หรือผลผลิตจากท้องถิ่นต่างๆ ในรูปแบบต่างๆ ของร้านค้าต่างๆ ที่เดินทางเข้าไปยังใจกลางเมืองใหญ่ เราสัมพันธ์กันและกันอย่างไม่อาจแยกขาด ปรากฏการณ์ ตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ช่วยตอกย้ำปณิธานที่เขียนไว้ตรงประตูโรงนาหลังคาสีแดง ณ บ้านของเรา ณ จังหวัดสมุทรสงครามที่ว่า

 

“บนเส้นทางที่ก้าวย่าง หากพบสิ่งดีเราจะคิดถึงกัน”

ใช่!! แน่นอน ..เราจะคิดถึงกัน

 

ด้วยจิตคารวะ

คณะรักเร่ หนู โจ อาร์ต แอนด์ ฟาร์ม ณ ตลาดนัดอาร์ตแอนด์ฟาร์ม ครั้งที่ 4 ณ สวนครูองุ่น

วันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2561

Share Button

ความตาย..มันเงียบนัก

บางความตายนั้นเงียบงัน..สงบนิ่งราวกับเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา

เธอจากไปแล้ว.. ลูกสาวของแม่ ภรรยาที่แสนดี และแม่ผู้เสียสละ..ของลูกชาย

 

อะยัมปิ โข เม กาโย เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโต” “

ร่างกายของมนุษย์เรานี้ ย่อมมีความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ เป็นปกติอย่างนี้

ไม่ล่วงพ้นความตายอย่างนี้ไปได้เลย

สิ้นคำเทศน์ก่อนถึงพิธีเผาศพ ขณะที่โลงศพค่อยๆเคลื่อนวนรอบเมรุ ใครบางคนหัวใจสลาย

การตายจาก..เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับผู้คนที่ไม่รู้จักกัน..

 

ก่อนสิ้นลมหายใจสุดท้าย เธอผู้นี้ ทำหน้าที่แม่ดูแลลูกชายวัยรุ่นพิการนอนติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ชีวิตที่เหลืออยู่ของแม่ ฝากไว้ที่ลูกชายจนหมดสิ้น.. เขาคือแก้วตาดวงใจอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวของครอบครัว

ครอบครัวเล็กๆที่มีเพียงเราสามคน พ่อ แม่ ลูก

 

ลูกชายประสบอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ตั้งแต่วัยเพียงสิบห้าปี

เขานอนเหงาอยู่บนเตียงโดยมีแม่คอยเคียงข้างทุกเช้าค่ำ

เป็นเวลายาวนานกว่า 6 ปี อยู่ดีๆแม่ก็ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

เธอกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำได้แค่เพียงนอนคุยเคียงข้างลูกชาย…

 

เหลือแค่สามี ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนภรรยา รวมทั้งต้องหารายได้เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว

ลำพังแค่สาละวนดูแลลูกและเมีย ในแต่ละวัน เงินที่สะสมไว้นับวันก็ยิ่งร่อยหรอ

โชคดีที่โครงการอาสามาเยี่ยม มาช่วยแบ่งเบา ได้รับข้าวสาร อาหารแห้ง พอได้ประทังชีวิต

ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ คือคุณูปการที่ช่วยทำให้หัวใจที่เหนื่อยล้าได้พักผ่อนบ้าง

 

พ่อบ้านสลับสับเปลี่ยนทำความสะอาดให้กับลูกและเมียอย่างไม่รังเกียจ

บนเส้นทางของนักสู้ เขารู้ดีว่าสุดท้ายปลายทาง คือการลาจาก..ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย

เขาจะทำทุกวันให้ดีที่สุด

 

ปลายยอดเมรุ ควันสีเทาพวยพุ่งไปในอากาศ สิ้นสุดความเจ็บปวดทรมาณทางกาย

เหลือไว้แค่เพียงความทรงจำของคนที่ยังต้องอยู่ต่อไป..

บางครั้ง ความตาย อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับบางเรื่องและบางคน

และไม่ว่าอย่างไร .. ชีวิตหลังความตายของใครสักคน

อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ๆ ที่หนีไม่พ้นเรื่องการเกิด แก่ เจ็บและตาย

 

Share Button

วันนี้น้องชายคนเล็กของบ้าน มีอาการจับไข้ หนาวสั่นอีกแล้ว

เดือนนี้เราต้องพาเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลถึงสองครั้งด้วยอาการติดเชื้อเฉียบพลัน

ต้นเหตุเพราะ สายปัสสาวะที่เจาะคาไว้ที่หน้าท้อง เพื่อระบายของเหลวนั้น

บางครั้งบางคราวมันก็บอบบางราวกับเด็กทารก เมื่ออากาศเปลี่ยนร้อนไปชื้นไป

มันก็รังแต่จะติดเชื้อโน้นนี่ ลำพังยาแก้อักเสบธรรมดาไม่เคยเอาอยู่

 

หมอสั่งยาฆ่าเชื้อราคาสูงลิ่วเท่ากับรถมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน

ด้วยเชื้อที่ว่าดื้อยาราคาถูกเสียแล้ว …

 

พ่อโอบอุ้มหัวและคอยพยุงแผ่นหลังไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว

พี่เขยช้อนขาไร้เรี่ยวแรงทั้งสองข้างไว้แน่น พี่สาวทำหน้าที่พายเรือ

แม่รอรับร่างลูกชายคนเล็กอยู่ในเรือ เตรียมที่นอนหมอนไว้รองรับร่าง

กว่าจะถึงโรงพยาบาล ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกัน

เพราะบ้านเราอาศัยคันดินริมคลองเป็นที่อยู่อาศัย การไปไหนจึงต้องใช้ทั้งเรือและรถ

 

ริมคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ตรงข้ามวัดแคลายวงศ์มณี ตำบลศาลาแดง อำเภอวังน้ำเปรี้ยว

จังหวัดฉะเชิงเทรา คือพิกัดที่อยู่ของครอบครัวนี้ ที่ดินถูกสืบทอดโดยปราศจากหลักฐานมานานกว่า 70 ปี

ตั้งแต่รุ่นยายทวด เร็ววันอันใกล้นี้ ที่ตรงนี้พวกเขาอาจเป็นได้เพียงแค่คนไม่มีสิทธิ

ไม่มีสิทธิครอบครอง ไม่มีสิทธิอยู่อาศัย และไม่มีสิทธิใดๆ ในฐานะของคนอยู่มาก่อน

 

11 ปีที่แล้ว เด็กชายเคยวิ่งเล่นซุกชน พายเรือเช้าเย็น ลูกชายคนเล็กของบ้าน

ท่ามกลางพี่ๆทั้งหญิงชาย เขาได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม

 

11 ปีให้หลัง เขานอนอยู่บนเตียง เดินไม่ได้ ลุกนั่งลำบาก และหลังถูกดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก

ปัจจุบันเขาอายุ 24 ปีแล้ว ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นบนเตียงผู้ป่วย โดยมีแม่เป็นผู้คอยพยาบาล

ครึ่งล่างไม่มีความรู้สึก ขาทั้งสองข้างค่อยๆเล็กและลีบลงไปเรื่อยๆ

 

ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาอีกแล้ว.. เหล็กที่ดามอยู่ที่หลังและขาสั่นสะท้าน

มันเต้นระริก เหมือนมีชีวิตเมื่อพบเจอลมหนาว เด็กหนุ่มพ่ายแพ้ต่อเหล็กเย็นเฉียบในร่างกาย

ความทรมานหนึ่งเดียวบนเตียงผู้ป่วยที่เขาไม่อาจต่อสู้กับมัน..

 

“ตอนเป็นใหม่ๆก็คิดมาก แต่มันทำอะไรไม่ได้แล้ว คิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

“สู้ อยู่อย่างนี้ไปทำใจให้ดี เพื่อแม่จะได้ไม่รู้สึกแย่” เด็กหนุ่มเล่าถึงความรู้สึก

 

“ถ้าเขาเศร้า ฉันก็จะลำบาก ดีหน่อยที่เขายิ้มได้ คนดูแลก็มีกำลังใจ” แม่กล่าวพร้อมกับมองไปที่ลูกชาย

 

การพบเจอกันครั้งแรก .. แปลกก็ตรงที่ได้เจอกับรอยยิ้มของเขา

เขานอนติดเตียง เคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนมาไหนไม่ได้ มานานกว่า 11 ปี

ส่วนคนที่ขับรถกระบะคันนั้น ในบ่ายวันหนึ่งด้วยอาการหลับใน

ทุกวันนี้ยังสุขสบายดีหรือไม่ เด็กหนุ่มลืมมันไปเกือบหมดแล้ว

ไม่ใช่ว่าเขาให้อภัย.. แต่มันย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้..เขาจึงได้แต่ทำใจ

 

ค้นหาความสุขเพื่ออยู่กับปัจจุบันและเปลี่ยนความรัดทดท้อใจให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา

มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น แล้วปล่อยชีวิตตัวเองตามโชคชะตา..ที่เลือกไม่ได้ต่อไป

 

หน้าที่ของโครงการอาสามาเยี่ยม ไม่ใช่เพียงนำข้าวของเครื่องใช้ไปให้

การเยี่ยมเยียนกันตามประสาเพื่อนมนุษย์ ช่วยชุบชูใจให้มีแรงสู้ต่อ

ในฐานะของคนแปลกหน้าที่มีใจคิดถึงกัน..

 

Share Button

ณ สถานที่ ที่เวลาเป็นนิรันดร์

เป็นเวลาบ่ายสามนาฬิกา ก่อนแดดร่มลมตก
ฉันได้ยินเสียงลมหัวเราะต่อกระซิกกับใบไม้
● ฉับพลัน กระรอกตัวเก่งกระโดด จากกิ่งไม้หนึ่งไต่ไปตามสายไฟแรงสูง
สูงเสียดฟ้า ฝุ่นละอองลอยฟุ้ง เป็นริ้วเล็กๆสีขาวๆทั่วท้องฟ้า
ริบๆสุดสายตาเป็นตึกคอนกรีตกำลังก่อสร้าง ส่งเสียงตึงตัง ตลอดทั้งกลางวัน
ระยิบแดด พยายามเบียดใบไม้เพื่อปรากฏตัวบนสนามหญ้าสีเขียวตองอ่อน
เด็กน้อยเอามือสัมผัสผืนทราย ก่อ ขยำและสร้างรูปทรงเป็นบ้าน ภูเขา
และทะเล
บนพื้นที่สองร้อยห้าสิบตารางวา
รองรับจินตนาการของทุกคนได้อย่างไม่จำกัด
ในยามเช้าของทุกวัน ท่ามกลางความวุ่นวาย แออัด รถติดของซอยทองหล่อ
โอโซนบริสุทธิ์รวมตัวกระจุกอยู่ในสวนสีเขียวของครูองุ่น จาลิก ผู้รักสงบ
ในยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน .. ไอชื้นของผืนดินนำความเยือกเย็นมาให้
กลิ่นดินหอมๆ และเสียงน้ำกระทบรดต้นไม้
ทำให้กิ่งก้านของมันแผ่กว้างขวางยิ่งขึ้น
ไม่ใช่เพียงเด็กๆที่หวังพึ่งพิงสวนแห่งนี้
..ผู้คนที่เหนื่อยล้า..คิดถึงบ้านนอกเมืองอาศัยมุมเล็กๆถอดถอนใจ
แว่วเสียงกระซิบในความทรงจำ ตุ๊กตาหุ่นมือจากผ้าหลายสี
เคยอวดโฉมในมือของครูองุ่น
ซุ่มเสียงสูงต่ำ และเรื่องราวพิศดาร เสกสรรเศษผ้าให้มีชีวิต
และทุกครั้ง จินตนาการที่หลับไหลก็กลับมาโลดแล่น
ในหัวใจของเด็กและผู้ที่เคยเป็นเด็กมาก่อน
เด็กหญิงลูกครึ่งผมหยิก แก้มสีชมพู เธอใช้ชีวิตอยู่บนคอนโดหรูหรา
วันนี้เมื่อปีที่แล้ว เด็กน้อยยังเดินไม่ถนัด ล้มลุกคลุกคลาน
เดี๋ยวนี้แขนขาแข็งแรง วิ่งวนรอบต้นไม้ หัวเราะเอิกอ้าก
สร้างสีสันให้กับดอกไม้และใบหญ้า

เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว ที่สวนแห่งนี้เปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตได้เติบโต
ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่หมายรวมถึงจิตใจอันสดชื่น
แจ่มใสของเมืองที่ถูกละเลยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
บ้านสมถะหลังน้อยของครูองุ่นยังอยู่เช่นเดิม..เพื่อย้ำเตือนความทรงจำ..
รอยเท้าที่เคยเหยียบย่ำ ยังมิจางหาย.. หากใช้ใจสัมผัส
เราจะมองเห็นร่องรอยแห่งความเมตตากรุณา
ในความร้อนรุ่มของเมือง
สวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้ให้ความร่มเย็นในทุกวัน..
การได้เข้ามาเดินเล่น นั่งพักฟังเสียงธรรมชาติที่นี่
เปรียบเสมือนได้พูดคุยกับครูผู้อารี
แล้วร่ายกายและหัวใจของเราจะได้รับการชำระล้าง …

Share Button

กำลังใจไม่เคยเพียงพอ

ทันทีที่คุณคิดจะเป็นผู้ให้ .. ใครบางคนสัมผัสได้ถึงความสุข
กองเสื้อผ้า ของเล่น หนังสือ และของเหลือใช้ที่ใครๆเรียกกว่าของบริจาค
เหล่าของประดามีเหล่านี้ หากเทียบเป็นราคาก็อาจมีค่าน้อยนิดเกินประมาณ
บางสิ่งบางอย่างเป็นขยะของบ้านหนึ่ง
แต่กลับส่องประกายแวววาวเจิดจ้าสำหรับอีกบ้านหนึ่ง
ฟูกเก่าๆมือสอง ของที่ใครๆไม่ต้องการ
แต่มันกลับสูงค่ามากมายสำหรับแผ่นหลังอันเมื่อยล้าของใครคนหนึ่ง
แม้แต่พัดลมสีซีด เตารีดที่ควบคุมความร้อนได้บ้างไม่ได้บ้าง
และหม้อหุงข้าวเก่าเก็บ
มันยังถูกใช้งานอย่างรู้คุณค่าในห้องครัวผุพังสังกะสีในบ้านที่ไม่อาจจะเรียก
ได้ว่าบ้าน ณ หนองน้ำครำแห่งหนึ่ง
ตุ๊กตาตัวน้อยสีทึมเทา และผ้าห่มลายการ์ตูน
มันแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเด็กน้อยหน้าตามอมแมมหัวยุ่งเหยิง
มือน้อยๆค่อยลูบไปตุ๊กตาหมีอย่างทะนุถนอม
สำหรับเด็กบางคนมันเป็นของเล่นชิ้นแรกในชีวิต
ทันทีที่รถวิ่งวนเข้ามาจอด..เจ้าหน้าที่กุลีกุจอต้อนรับ
เรารู้ดีว่าหลังรถทุกคัน บรรจุกำลังใจมากมายมาฝากไว้ให้กับเราที่นี่..
กำลังใจที่มาในรูปแบบ “ของบริจาค”
เกินกว่าจะจินตนาการได้ว่าข้างในถุงใบใหญ่หลากสีสันนั้นห่อหุ้มสิ่งใดไว้บ้าง ..​
เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้ดี .. ทุกสิ่งอันที่นำมากองไว้ คือสิ่งสำคัญ
สมบัติล้ำค่าจากบ้านสู่อีกบ้าน
สำหรับที่นี่ เรามีกำลังใจส่งมาให้ล้นหลามในทุกวัน
ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะร้อน
แต่ทว่ากำลังใจยังไม่เคยเพียงพอ ทุกทั่วหัวระแหงของประเทศ
หลายบ้านยังคงว่างเปล่า ขาดข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
เด็กหลายคนยังนอนหนาว และขาดเพื่อนเล่นในจินตนาการ

โรงเรียนหลายโรงเรียนไม่มีดินสอ ยางลบ ถุงเท้า และอาหารกลางวัน
เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้ดี.. การรับบริจาคจึงไม่มีวันหยุด
จนกว่ากำลังใจจะถูกส่งถึงทุกคนทุกพื้นที่ .. ด้วยความเคารพจากหัวใจ

Share Button

การอ่าน คือเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา” หลายเล่มโปรด หลากปัญญา จาก 5 นักการเมืองไทย

“การอ่าน คือเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา” ยังคงเป็นเรื่องจริงที่น่าอัศจรรย์ ยิ่งได้อ่านหนังสือดีมากเท่าไหร่ ปัญญาที่ดีก็ย่อมชูช่อเบ่งบานมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่ออยากมีปัญญาที่ดี ก็ต้องเลือกหนังสือที่ดีมาอ่าน ซึ่ง
“หนังสือที่ดี” นั้นไม่ได้หมายถึง “หนังสือที่เขียนด้วยถ้อยคำดี ๆ ภาษาสวยงาม” หากแต่เป็นหนังสือที่อ่านแล้วทำให้เราได้ข้อคิด เกิดมุมมองใหม่ ๆ สะท้อนปัญหาและก่อให้เกิดปัญญาที่จะนำไปใช้กับชีวิตได้จริง การ “เลือกหนังสือ” จึงไม่ต่างจากการ “เลือกคบคน” บางเล่มอ่านแล้วตกหลุมรักทันที บางเล่มอ่านตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่มีมุมไหนที่ทำให้ประทับใจได้เลยแม้แต่น้อย บางเล่มอ่านไม่ทันจบก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว บางเล่มต้องใช้เวลาอ่านทวนอยู่หลายรอบกว่าจะเข้าใจและชอบพอ ฯล แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในหนังสือดี ๆ หนึ่งเล่ม ย่อมทำให้ผู้อ่านเกิดปัญญาที่ดีและแนวคิดที่เหมาะสมต่อชีวิตตนมากกว่า 1 อย่าง เหมือนกับหนังสือเล่มโปรดของ 5 นักการเมืองจากทั้ง 5 พรรค ที่พวกเขายกให้เป็นหนังสือที่ช่วยเปลี่ยนความคิดและสร้างคุณค่าให้กับชีวิตกันเลยทีเดียว และนี่คือข้อดีที่พวกเขาได้รับจากหนังสือเล่มโปรดเหล่านั้น

พริษฐ์ วัชรสินธุ (ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์)
เล่มโปรด : ทฤษฎีความยุติธรรม (A Theory of Justice)
ผู้เขียน : จอห์น รอลส์ (John Rawls))/ ประเภท : ทฤษฎีปรัชญาเศรษฐศาสตร์

“หนังสือเปลี่ยนชีวิต, ‘จอห์น รอลส์’ เปลี่ยนความคิด”

“มีหนังสือหลายเล่มที่เปลี่ยนชีวิตผม ตอนเด็ก ๆ ชอบอ่านนิยาย แต่โตมาชอบอ่านแนวเศรษฐศาสตร์ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ผมมีโอกาสอ่านหนังสือแนวนี้หลายเล่มด้วยกัน มันเลยตอกย้ำสังคมที่ผมอยากสร้าง และหนังสือ “ทฤษฎีความยุติธรรม” (A Theory of Justice) ของ “จอห์น รอลส์” ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่ช่วยหล่อหลอมความคิดทางการเมืองของผม “รอลส์” เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเรื่อง “โลกที่ยุติธรรมเป็นอย่างไร” เขาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเรื่องการศึกษา เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ผมคิดถึงคำว่า “ยุติธรรม” จริง ๆ นั้นมีความหมายอย่างไร ซึ่งก็ทำให้ผมได้คิดว่า “โลกที่เราออกแบบเองนั่นแหละคือโลกที่ยุติธรรมสำหรับเรา” การอ่านหนังสือช่วยสร้างมุมมองและไอเดียใหม่ ๆ ให้กับเรา ช่วยเปิดโลกอีกด้านที่เราอาจจะไม่เคยรู้ ก็อยากชวนให้ทุกคนหันมาอ่านหนังสือกันเยอะ ๆ นะครับ”

ภูวพัฒน์ ชนะกูล (ผู้สมัครส.ส.พรรคเสรีรวมไทย)
เล่มโปรด : Baki (ผู้แต่ง : เคสุเกะ อิตางากิ), โคโค สลัดจอมลุย (เรื่องและภาพ : ฮิเดยูกิ โยเนฮาระ), แฮรี่ พอตเตอร์ (ผู้เขียน : เจ.เค. โรว์ลิง)/ ประเภท : การ์ตูน, แฟนตาซี

“หนังสือ คือเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ดีของชีวิต”

“ในชีวิตของคนทุกคนมีเรื่องให้ต้องคิด ต้องทำ ต้องรับผิดชอบมากมาย และแน่นอนว่าหลายครั้งเราเครียดและเหนื่อยล้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญเหล่านั้น หนังสือจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้ เป็นเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ดีอย่างหนึ่งของชีวิต แนวที่ผมชอบก็เลยจะต้องอ่านแล้วสนุก ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งก็จะเป็นหนังสือการ์ตูนหรือแนวแฟนตาซีเป็นส่วนใหญ่ อย่างเรื่อง “บากิ, โคโค สลัดจอมลุย และแฮรี่ พอตเตอร์” เป็น 3 เรื่องที่ผมชอบมาก และอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน นอกจากข้อดีที่ผมบอกข้างต้นแล้ว ยังได้เรื่องของจินตนาการอีกด้วย จินตนาการนี่แหละที่จะทำให้เราต่อยอดความคิดดี ๆ ได้หลากหลาย ก็อยากฝากให้ทุกคนอ่านหนังสือกันเยอะ ๆ นะครับ เราจะได้รับสิ่งดี ๆ จากโลกของอ่านหนังสืออย่างแน่นอน”

กัญจนา ศิลปอาชา (หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา)
เล่มโปรด : มรณสติ/ ประเภท : ธรรมะ

“หนังสือธรรมะ เปรียบดั่งพระธรรมนำทาง”
“หนังสือที่ชอบอ่านจะเป็นแนวธรรมะค่ะ เพราะอ่านแล้วทำให้เราเข้าใจความจริงแท้ของชีวิตมนุษย์และพ้นทุกข์ได้จริง แต่จะไม่ยึดติดว่าต้องเป็นของครูบาอาจารย์ท่านไหนนะคะ จะเลือกเล่มที่ถูกกับจริตของตัวเองมากกว่า ซึ่งก็จะชอบแนวที่ทำให้เรามีสติ และบ่มเพาะปัญญาของเราให้เกิดขึ้นได้เอง เหมือนอย่างหนังสือเรื่อง “มรณสติ” เป็นเล่มที่อ่านแล้วชอบมาก จะสอนเรื่องการเตรียมตัวก่อนตาย ซึ่งในทางพุทธศาสนาบอกไว้ว่า จิตสุดท้ายเป็นจิตสำคัญที่จะกำหนดชาติภพของเรา การมรณสติจะสอนให้เราไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราจะตายเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่การเตรียมตัวตายให้พร้อมด้วยจิตที่ผ่องใสก่อนตายนั้นสำคัญ หนังสือเล่มนี้เป็นบทความขนาดสั้นของครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน อาทิ ท่านพุทธทาสภิกขุ, หลวงปู่ช้าง กนฺตสาโร, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นต้น เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ”

ณหทัย ทิวไผ่งาม (รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ)
เล่มโปรด : หลังรอยยิ้ม เรื่องเล่าพลิกฟื้นตัวตนและชุมชนชายแดนใต้ (โดย : เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ และองค์กรภาคี)/ ประเภท : สารคดี

“ได้อ่านหนังสือ “หลังรอยยิ้มฯ” เมื่อครั้งได้ไปทำงานที่ภาคใต้ค่ะ ตอนนั้นนำโครงการสอนภาษาอังกฤษไปสอนเด็ก ๆ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อ่านแล้วรู้สึกชอบ เป็นบทบันทึกชีวิตและชะตากรรมของผู้ที่ได้รับผลกระจากสถานการณ์ชายแดนใต้ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความรุนแรง ความเจ็บปวด และความสูญเสีย ขณะเดียวกันหนังสือเล่มนี้ก็ชวนเราตั้งคำถามและค้นหาความหมายของ ‘ความหวัง’ แม้วันนี้หลายคนพอจะยิ้มออกได้บ้าง แต่หลัง ‘รอยยิ้ม’ เหล่านั้นคือ ‘รอยช้ำ’ ของชีวิต และการต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ ยังพูดถึงเรื่องธรรมะ พูดถึงชาวพุทธ ชาวมุสลิมและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งหลายเรื่องสิ่งที่เราได้ยินมานั้นมันไม่ใช่ความจริง พอพูดถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้เราก็กลัวแล้ว น้อยคนที่อยากจะไป แต่จริง ๆ แล้วธรรมชาติของ 3 จังหวัดนี้มีความสดอยู่มาก ต้นไม้ ทะเล และมิตรภาพที่ดีของผู้คน วิถีชีวิตที่งดงาม ผู้คนเขียน ๆ ได้ดีมาก สามารถถ่ายทอดถ้อยคำออกมาได้ดี อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วย ก็อยากชวนทุกคนมาอ่านหนังสือเล่มนี้กันนะคะ เราจะได้เข้าใจพี่น้องที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น รวมถึงอยากชวนให้อ่านหนังสือกันเยอะ ๆ ค่ะ เพราะการอ่านเป็นการช่วยเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจให้เรามากขึ้นค่ะ”

“ไพบูลย์ นิติตะวัน” (หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป)
เล่มโปรด : แก่นพุทธศาสน์ (รวบรวมปาฐกถาของพุทธทาสภิกขุ)/ ประเภท : ธรรมะ

“แก่นพุทธศาสน์ เป็นหนังสือที่ผมประทับใจมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้ผมคิดในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมธรรมะของพระพุทธทาสภิกขุที่ได้ไปปาฐกถา ณ โรงพยาบาลศิริราชรวม 3 ครั้งระหว่าง พ.ศ. 2504 – 2505 และยังได้รับยกย่องให้เป็นหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ.2508 จากองค์การยูเนสโกแห่งสหประชาาติ อีกทั้งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย “แก่นพุทธศาสน์” พูดถึงใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนาในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็น “ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา หัวใจของพุทธศาสนา คือสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น, ความว่าง ธรรมที่เป็นประโยชน์แก่ฆราวาส คือเรื่องสุญญตา, วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง การปฏิบัติเพื่อความว่างมี ๓ โอกาส…ปรกติ กระทบ จะดับจิต และยอดปรารถนาของมนุษย์ จิตวุ่นทำการงานเป็นทุกข์ จิตว่างทำการงานสนุกไปหมด..” ซึ่งก่อนที่ผมจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมได้เข้าใจในพระพุทธศาสนาอีกมิติหนึ่ง เป็นมิติของพิธีกรรม อาทิ การเข้าวัด สวดมนต์ สะเดาะเคราะห์ หรือทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาอะไรต่าง ๆ แต่พอได้อ่าน “แก่นพระพุทธศาสน์” แล้วก็เข้าใจว่า จริง ๆ แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้นเป็นการสอนธรรมมะ สอนให้เรารู้เรื่องทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ สอนให้รู้วิธีดับทุกข์ ไปจนถึงหนทางแห่งการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปเจ็บปวดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคต ซึ่งอ่านอย่างเดียวไม่ได้ประโยชน์ ต้องนำมาปฏิบัติด้วย ก็อยากให้ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันครับ”

“ปัญญา” เกิดได้จากการได้ยิน ได้ฟัง ได้คิด ได้วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ รวมถึงการได้ “อ่าน” ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้เกิดปัญญา และพัฒนาให้ปัญญานั้นงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป

Share Button