ความฝันที่ชะงักกับ 3 ชีวิตติดเตียงที่ต้องดูแล

ป้าแดง ในวัยสาวเธอมีความฝัน
อยากใช้ชีวิตเป็นอิสระ
จะทุ่มเทเวลาทำสวนทำไร่
อยากมีที่ดินผืนใหญ่เป็นของตัวเอง
.
แต่ยังไม่ทันที่ความฝันจะก่อตัว
พี่ชาย น้าสาว และแม่ของเธอก็ล้มป่วย
ทั้งสามชีวิตติดเตียงในเวลาไล่เลี่ยกัน
.
ป้าแดงต้องละทิ้งงาน มาทำหน้าที่ดูแล
แม้งานจะเป็นความฝันที่เธอเคยตั้งมั่น
แต่วินาทีนั้นชีวิตคนป่วยในบ้านสำคัญกว่า
.
เธอดูแลผู้ป่วยเรื่อยมาอย่างอัตภาพ
จากวัยสาวจนก้าวเข้าวัยชรา
การพยาบาลผู้ป่วยสามคนไม่ใช่เรื่องง่าย
มันเป็นงานหนักที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย
กล้ามเนื้อหลังของเธออักเสบ
เพราะต้องยกตัวผู้ป่วยไม่เว้นวัน
.
ยิ่งกว่านั้นนอกจากชีวิตผู้ป่วยแล้ว
ยังมีภาระค่าใช้จ่าย ค่ากินอยู่
ค่าแพมเพิส ค่าน้ำไฟ ฯลฯ
ที่เธอต้องแบกรับไว้ด้วยรายได้จากเบี้ยคนชรา
.
ภาระทั้งหมดกดทับความฝันไว้หมดสิ้น
เธอไม่เหลือความฝันให้ตัวเองมีที่ดินผืนใหญ่
เหลือแค่ความหวังในวัยบั้นปลาย
ให้ครอบครัวและตัวเธอเอง
ยังมีชีวิตรอดไปได้ก็เพียงพอ
.
ทีมงานอาสามาเยี่ยม ลงพื้นที่เยี่ยมเยียน
และรับครอบครัวนี้ไว้ในการดูแล
ทุกเดือนเราจะนำข้าวสารอาหารแห้ง
ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ของใช้จำเป็นจำนวนหนึ่ง
ที่มูลนิธิได้รับบริจาคมามอบให้
ของเหล่านี้จะช่วยประคับประคองครอบครัว
ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ดูแลต้องแบกรับ
.
นอกจากของใช้แล้ว เราใช้เวลาพูดคุย
เติมพลัง รับฟังปัญหา กับผู้ดูแลผู้ป่วย
ให้พวกเขาได้รับรู้ว่ายังมีคนเคียงข้าง
เป็นการเยียวยาทางใจในเวลาทุกข์ยาก
ที่เพื่อนมนุษย์สามารถส่งต่อให้แก่กัน

——————————————————

คุณสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความช่วยเหลือ
บริจาคข้าวสารอาหารแห้ง
ของใช้จำเป็น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่
ได้ที่ มูลนิธิกระจกเงา
เลขที่ 191 ซอยวิภาวดีรังสิต 62 แยก 4-7
แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. 10210
โทร.061-909-1840, 063-931-6340
เขียนหน้ากล่อง “เพื่อโครงการอาสามาเยี่ยม”
.
หรือสมทบทุนได้ที่ ชื่อบัญชี กองทุนอาสามาเยี่ยม
เลขที่บัญชี 202-258297-5 ธ.ไทยพาณิชย์
สอบถามข้อมูลเพิ่ม โทร.061-909-1840

Share Button

เมนูไข่ดาวที่แสนธรรมดาบนโต๊ะอาหารที่แสนพิเศษ

“มื้อพิเศษของครอบครัว”
.
เด็กหญิงคว้าแผงไข่เข้าไปกอดไว้แน่น
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าในถุงเซเว่น
ที่ทีมงานอาสามาเยี่ยมนำไปฝาก
มีไข่ไก่อยู่ในนั้นด้วย
.
เด็กน้อยว่าเธอชอบกินไข่ดาว
เธอบอกด้วยสายตาเป็นประกายว่า
จะทอดไข่ดาวให้แม่และยายกิน
รวมถึงจะแบ่งพี่ๆ ทีมงานกินด้วยกัน
.
นานนับปีแล้ว ที่อาสามาเยี่ยม
แวะเวียนมาเยี่ยมครอบครัวนี้
.
ครอบครัวที่ผู้หญิงอยู่กันลำพัง
แม่เป็นแรงงานเพียงคนเดียวในบ้าน
เก็บหาไม้ในป่าหลังบ้าน
เพื่อมาเผาเป็นถ่าน ขายเป็นรายได้
ดูแลยายกับลูกสาววัยประถมอีก 2 คน
.
ทุกครั้งที่แวะเวียนไป
ทีมงานจะนำของกิน ของเล่น ของใช้
ติดมือไปช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายของครอบครัว
.
และตั้งแต่กระจกเงาขอรับบริจาคแต้ม
แต้มที่เราได้มานั้น ได้ถูกใช้เพื่อเป็นประโยชน์
กับครอบครัวผู้ป่วยติดเตียงยากไร้ คนไร้ที่พึ่ง
รวมถึงครอบครัวเปราะบางรายนี้
และไข่แผงในอ้อมกอดนี้ ก็เช่นกัน
.
เย็นวันนี้ เมนูไข่ดาว ที่แสนธรรมดา
จะถูกนำขึ้นโต๊ะ ล้อมวงกินด้วยกัน
มันจะกลายเป็น “มื้อพิเศษของครอบครัว”

—————————————

มูลนิธิกระจกเงาขอเป็นสื่อกลาง
รับโอนแต้มจากคุณ เพื่อส่งต่อให้ผู้เดือดร้อน
โอนแต้มสะสม All Member
หรือแต้ม The1 รวมถึง M Card
ผ่านแอพฯ มายังหมายเลข 063-931-6340
.
หรือหากยังไม่มีแต้ม แต่ต้องการบริจาค
ทุกครั้งที่ซื้อใช้จ่ายร้านสะดวกซื้อ
ไม่ว่าจะเป็น 7-11 เครือเซ็นทรัล The Mall
Tops Lotus BigC ฯลฯ
สามารถแจ้งเบอร์สมาชิก
063-931-6340 ได้เช่นเดียวกันค่ะ
.
หากระบบแจ้งว่าโควต้าโอนต่อวันเต็ม
สามารถทักอินบ๊อกซ์มาหาแอดมิน
เพื่อขอเบอร์สำรองได้เลยนะคะ

Share Button

เยี่ยมเยือน เพื่อเยียวยา

อาจเป็นรูปภาพของ 6 คน และผู้คนกำลังยิ้ม

การดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เป็นงานที่มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งในสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากประชากรผู้สูงอายุมีจํานวนเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการเตรียมความพร้อม เกี่ยวกับระบบการจัดการดูแลผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสําคัญ ซึ่งจะทําให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและดํารงชีวิตอยู่ใน สังคมไทยได้อย่างมีคุณค่า

ในปัจจุบันมีผู้ป่วยสูงอายุมากมายที่ถูกละเลยการเอาใจใส่และการดูแลจากสังคมหรือบางคนถูกละเลยจากครอบครัวทำให้พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวและขาดกำลังใจพวกเขาทั้งหลายเป็นบุคคลที่ต้องได้รับการดูแลมากกว่าปกติ

โครงการอาสามาเยี่ยมเล็งเห็นความสำคัญของผู้ป่วยที่ถูกละเลยจึงได้มีการลงพื้นที่เยี่ยมเคสผู้ป่วยและครอบครัวถึงบ้านเพื่อ“เยียวยาให้กำลังใจ” เพื่อสร้างความสุข ความผ่อนคลาย เป็นเพื่อนพูดคุย รับฟัง และส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์มือสองสภาพดี ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ตลอดจนของกินของใช้ในครัวเรือน ที่ได้รับบริจาคมาให้กับผู้ป่วยและครอบครัว“อาสาสมัคร” อาสามาเยี่ยม เป็นการดึงให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่และหนุนเสริม ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยทั้งมิติ กำลังใจ ทรัพยากร และการให้ความรู้ในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ของผู้สูงอายุร่วมกับชุมชน เพื่อเป็นฐานในการรับมือผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยโดยที่คนในสังคมมีส่วนร่วม เพราะนอกจากอาหาร อากาศ ยารักษาโรค คนเราอยู่ได้ด้วย“กำลังใจ”

Share Button

บันทึกจากบ้านพักฟื้นคนชราบางเขน

ทีมอาสามาเยี่ยมกับภารกิจเยี่ยมเยียนเหล่าผู้เฒ่าที่บ้านพักฟื้นคนชราบางเขน ในทุกวันพุธสุดท้ายของเดือน ที่มอบความสนุกสนาน และหอบหิ้วสิ่งของมาเต็มคันรถเพื่อนำมาส่งมอบสิ่งของ ที่ได้รับจากเหล่าผู้ใจบุญ ให้กับเหล่าคนที่เคยหนุ่มเมื่อนานมาแล้ว

ร่วมกับอาสาสมัครที่มาเล่นดนตรีโฟล์คซองแนวคันทรีผสมกับเสียงแซกโซโฟน แนวเพลงยุคเก่าสุดอินดี้ เมื่อมองดูอายุของผู้เล่นกับผู้ชมคงไม่ห่างไกลกันมากนัก ในช่วงของการเล่นดนตรีสด หวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา กับท่วงทำนอง “โห เล เล ฮี้…” ทำให้คิดถึงบ้าน บ้านที่อยู่ในร่องรอยของความทรงจำ และชีวิตในวัยหนุ่ม ช่างเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความฝัน บวกกับเสียงร้องที่เปล่งออกมา ดังชัดกังวานเข้าไปถึงหัวใจ

คิดถึง…คิดถึงช่วงชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ ชีวิตที่สามารถทำอะไรก็ได้ดั่งใจหวัง และการเดินตามความฝันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา

แม้ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปในช่วงวัยเยาว์ แต่ก็ได้ทำให้เหล่าคนเคยหนุ่ม ได้หวนกลับไปนึกถึงช่วงที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาอีกครั้ง รอยรั่วรอยแหว่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ แต่นั่นคือรสชาติที่สมควรแก่การคิดถึง

บทเพลงยังคงถูกบรรเลงต่อไป เมื่อหันไปสบสายตากับผู้ชม แววตานั้นมีความสั่นไหว แต่มีประกายของความสุขใจ และทั้งใบหน้านั้นถูกระบายไว้ด้วยรอยยิ้ม

หมดช่วงของการเล่นดนตรีสด เหล่านักดนตรีก็ต้องเดินทางกลับ ทิ้งไว้เพียงไอของความคิดถึง แต่ทีมอาสามาเยี่ยมก็ยังคงอยู่ต่อเพื่อมอบความสุข

เข้าสู่ช่วงของการร้องเพลงคาราโอเกะ ถึงช่วงเวลาที่เหล่าผู้ชมและเหล่าอาสามาเยี่ยมจะเป็นผู้แสดงลูกคอ เมื่อถึงคราวที่ต้องแสดงฝีมือก็ไม่มีใครยอมใคร มีตั้งแต่เพลง หยาดเพชร , กระเป๋าสมปอง , ตชด.ขอร้อง , วิมานดิน , คือเธอใช่ไหม , ใจรัก , เดือนเพ็ญ และบทเพลงอื่นๆอีกมากมายที่ถูกสลับปรับเปลี่ยนผู้ร้องกันไป…

นานแค่ไหนแล้ว ที่ความหนุ่มค่อยๆถูกเวลาลิดรอนไปพร้อมกับความแข็งแรง กลายเป็นความชรา เป็นคนชราคนหนึ่ง และมาอยู่รวมกันกลายเป็นกลุ่มคนชรา

ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย กลายเป็นที่ที่มีคนเหงามาอยู่รวมกัน เป็นสถานที่ที่มีความเศร้าและความเดียวดาย เมื่อคำว่าครอบครัวเป็นเพียงสิ่งที่เคยสัมผัสมาเมื่อนานแล้ว และที่แห่งนี้กลายเป็นเพียงที่พักพิงสุดท้ายของช่วงชีวิตที่กำลังจะมอดลง

การไปเยี่ยมเยือนบ้านพักฟื้นคนชราบางเขน ของทีมอาสามาเยี่ยมจึงไม่ได้ไปเพื่อแค่ส่งมอบสิ่งของ เลี้ยงขนม หรือสร้างความสร้างสนุกสนานเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่เพื่อเป็นการไปเยี่ยมเยียน ทักทาย พูดคุย และส่งมอบกำลังใจ ให้เหล่าคนเคยหนุ่มได้สัมผัสถึงความดีงามและคุณค่าของชีวิต ทำให้หัวใจคนเคยหนุ่ม ได้พองโตด้วยลมแห่งความสุขอีกสักครั้งหนึ่ง

อาสามาเยี่ยมอาจเป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง  ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเหล่าคนเคยหนุ่ม และจะคอยพัดวนอยู่เช่นนี้ เมื่อวันพุธสุดท้ายของเดือนวนมาอีกครั้ง ก็จะพัดพาความอบอุ่นกลับคืนสู่หัวใจ ของเหล่าคนเคยหนุ่มหัวใจไม่ชรา

ผลงานเขียนโดย: นางสาวหมีซ้อ ตองเซ
นักศึกษาบ้าฝึกงาน จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

Share Button

สิทธิในการเสพสุนทรียะและกลิ่นอันหอมหวนของบ้านในความทรงจำ

สิทธิในการเสพสุนทรียะและกลิ่นอันหอมหวนของบ้านในความทรงจำ

ที่นี่เราสามารถมองเห็นฟ้าได้ทุกสี เทียบเท่ากับทุกคน เพียงแต่ไม่อาจเห็นเส้นขอบฟ้า..
ฉันใด “การมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ก็เหมือนกับการมีชีวิตแต่เข้าไม่ถึงจังหวะเต้นของหัวใจ” ฉันนั้น

“เรือนจำ” ในที่นี้หมายถึง “เรือน” ที่ประทับตราตรึงไม่มีวันลืมเลือนอยู่ใน “ความทรงจำ”
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ “ลืม” เราก็อาจต้องกลับมาที่นี่อีก จนกว่าจะ “จดจำ” เรือนแห่งนี้ได้ขึ้นใจ
สำหรับทุกคนที่ถูกเรือนแห่งนี้..จองพื้นที่ในความทรงจำ แค่มองเข้าไปในดวงตาอันแห้งแล้ง
เราสัมผัสถึงลมหายใจแห่งความ “คิดถึงบ้าน” สุดพรรณา

ภายใต้กำแพงซ้อนกำแพง สามสี่ห้าชั้น ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
กว่าเราจะเข้าถึงนักโทษชายที่มีตั้งแต่วัยฉกรรจ์ จนถึงเฒ่าชรา
หลังกำแพงสูงเสียดฟ้า ความรู้สึกของเราถูกกลั่นกรองทีละน้อย
ในแวบแรกของความคิด เรานึกถึงเส้นทางหลบหนี..

แปลกแต่จริง…

เมื่อร่างกายกำลังถูกกักขัง เพียงแค่เชิงกายภาพด้วยสิ่งก่อสร้างแน่นหนา
ความรู้สึกของเรากลับดิ้นรนหาอิสรภาพ นี่คงเป็นสัญชาติญาณสามัญธรรมดาของมนุษย์
ทั้งนี้..มันไม่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงใดๆ กับการเป็นคนดี คนเลว!!

“บทเพลง กาแฟ หญิงสาว น้ำแข็งใส และหนังสือ” สิ่งของธรรมดาแต่ไม่สามัญสำหรับที่นี่

“จริงใจแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง ผิดเพียงหนึ่งครั้ง ถึงเก้าซะที่ไหน” ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องนำ บรรดาชายหนุ่มรุ่นกระทงพากันเปล่งเสียงประสาน พร้อมแววตาแจ่มใส ท่วงทำนองดนตรีช่วยพาเขากลับสู่ร่องรอยแห่งความรื่นรมย์ของชีวิตเก่าๆอีกครั้ง อาจจะเนิ่นนานสำหรับนักโทษบางคนที่ไม่ได้เปล่งเสียงร้องเพลงดังๆอย่างนี้ แม้กระทั่งในความทรงจำ

“กาแฟเย็น” ชื่นใจถูกเสริฟให้ทุกคน แบบไม่อั้น อาจจะไม่ใช่กาแฟที่อร่อยที่สุด แต่มันก็ทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่ม ฉำ่เย็นขึ้นมาบ้าง คาเฟอีนสูบฉีดหัวใจให้คึกคักและทำให้บางคนคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอมานาน คนที่เคยดื่มกาแฟร่วมกันในยามเช้าบ่าย

“หญิงสาวแปลกหน้า” อาสาสมัครหน้าตาจิ้มลิ้ม พวกเธอคิดอะไรอยู่ ถึงได้พาตัวเองมาถึงที่นี่ เพราะสำหรับที่นี่หญิงสาวคือ “สิ่งต้องห้าม” การเคลื่อนย้ายร่างกายไปมา หยิบจับข้าวของ จัดเรียงแก้วน้ำของพวกเธอ สายตาประหม่า แต่ไม่เหยียดหยัน ดูแคลน คงทำให้บางคนรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดูแม่ ภรรยา หรือลูกสาว จัดเตรียมข้าวปลาอาหารอยู่ในห้องครัว เชื่อว่า ..จังหวะเต้นของหัวใจใครบางคนคงเต้นดังโครมครามเหมือนชีวิตกลับมาธรรมดาสามัญอีกครั้ง บ้านที่มีผู้หญิง คือเรือนนอนที่อบอุ่น ปลอดภัยทั้งกายและใจสำหรับผู้ชายทุกคน

“น้ำแข็งใส” ขนมหวานๆเย็นๆ ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ยิ่งได้เคี้ยวน้ำแข็งพร้อมกับผลไม้เชื่อมนานาชนิด ยิ่งทำให้รู้สึกมีชีวิตมีรสชาติ มีชีวิตชีวา และกระชุ่มกระชวย ชีวิตของคนเราควรได้มีโอกาสลิ้มรสความหอมหวานแบบนี้ เพราะความสุนทรีย์ทางอารมณ์ต้องครบทั้งรูปรสกลิ่นและเสียง

“หนังสือ” ทุกคนสามารถเลือกหนังสือที่ตัวเองชอบได้คนละหนึ่งเล่ม ด้วยโครงการอาสามาเยี่ยมเชื่อว่า การอ่านคือการเปิดจินตนาการสู่โลกใบใหม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นโลกใบใหม่ที่ห่างไกลความจริงสำหรับนักโทษที่นี่ แต่การได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของโลกภายนอกผ่านตัวหนังสือ และภาพประกอบมันก็ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระเหมือนนักเดินทางแม้ในความฝันก็ยังดี

เพราะที่นี่คือที่ที่ทำให้คน “คิดถึงบ้าน” มากที่สุดในโลก

การมาของโครงการอาสามาเยี่ยม “เพื่อนนักโทษชายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” เพียงสองชั่วโมงครึ่งของการพบเจอกันมันช่วยลดโมงยามแห่งความโหยหาและคิดถึงบ้าน ช่างสั้นนักในห้วงสุนทรียะ แต่กลับสร้างความหมายใหม่ของการมีชีวิตต่อไปในเรือนจำที่เย็นชา ผ่าน“บทเพลง กาแฟ หญิงสาว น้ำแข็งใสและหนังสือ” เป็นการรวมตัวกันของสิ่งธรรมดาแต่ไม่สามัญที่นำพากลิ่นของบ้านให้ลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วพื้นที่แห่งความทรงจำ

Share Button

เมื่อ “ความจน” ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

เมื่อ “ความจน” ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
เพราะเมื่อความยากจน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่มักถูกทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
ความพยายาม ต่อสู้ ดิ้นรน ขยันและมองหาโอกาสให้กับตัวเอง จึงเป็นคุณสมบัติของคนจน

“ต้องสู้” คือหลักใหญ่ใจความที่ต้องยึดถือไว้ตลอดชีวิต
แต่..ไม่รู้ว่าต้องสู้อีกสักเท่าไหร่ ถึงจะชีวิตสุขสบายกับเขาบ้าง
และเมื่อ “ความหวัง” คือที่พึ่งสุดท้าย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับการสู้รบกับความยากจนข้นแค้น
ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล..เพราะความจนตรงหน้ามันท้าทายเหลือทน

“เราจะอยู่เคียงข้างกัน” ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากเจ้าหน้าที่โครงการอาสามาเยี่ยม
ชายผู้พิการกล้ามเนื้อเคยอ่อนเรี่ยวแรง กลับมามีแรงฮึดสู้..เพื่อตนเองอีกครั้ง
หลังจากนั้นเขาเริ่มนั่ง หัดเดิน และเดิน เพื่อให้สองเท้าก้าวไปข้างหน้าแม้ในความจริง ชีวิตยังไม่ดีขึ้นอย่างหวัง

ในเมื่อความเหลื่อมล้ำ จน รวย นับวันดูจะยิ่งถ่างระยะห่างออกเรื่อยๆ
และโชคชะตาก็ไม่เคยเข้าข้างคนจนจริงๆจังๆสักครั้ง ..มีเพียงความหวังลมๆแล้งๆพัดผ่าน
ชีวิตนับวันยิ่งแห้งผาก สิ้นหวังราวกับทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา

เขา..ใช้สองมือถักทอหญ้าคาเป็นหลังคาคุ้มแดดกันฝนให้กับเห็ดนางฟ้าภูฐาน
เขา..ก่อสร้างโรงเรือนขนาดย่อมด้วยไม้ยูคา ซึ่งหาตัดได้ในป่าละเมาะรอบๆบ้าน
เขา..จัดเรียงถุงเห็ดด้วยสองมือ และสองขากระโผกกระเผก
เขา..รดน้ำ ดูแล ทะนุถนอมมันดั่งลูก คอยเฝ้ามองการเจริญเติบโตในทุกวัน
เขา..เรียนรู้การทำปุ๋ย และน้ำหมักธรรมชาติเพื่อช่วยให้เห็ดออกดอกออกผลและแข็งแรง
เขา..นำเห็ดออกเร่ขายในหมู่บ้าน เห็ดของเขาอร่อยหนานุ่มกว่าที่อื่น
จนมีลูกค้าประจำที่ติดใจในรสมือ อันผสมผสานระหว่างเทคนิคและความใส่ใจ

เขา..มีรายได้ต่อวันหลายร้อยบาท มันช่วยทำให้ความหวังอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายชัดเจนขึ้น
เขา..ว่ารายได้จากการขายเห็ดจะเก็บเอาไว้เพื่อต่อยอด จากเห็ด 600ก้อน จะเป็นอีก 4,000 ก้อนในอนาคต
เขา..ฝัน หากมีวันนั้น เห็ด 4,000 ก้อนจะดูแลทุกคนในบ้านได้สบาย เขามั่นใจ
“ผมจะช่วยทำหลังคาโรงเรือนให้ป้านันฟรี!!”
“แม้ว่าชีวิตผมอาจยังไม่ดีขึ้น แต่ผมก็เริ่มห่างจากความยากจนทีละน้อยแล้ว”
“ขนาดที่บ้านผมมีกันตั้งหกคน ยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วป้านันตัวคนเดียวคงลำบากมาก” ชายหนุ่มประกาศกร้าวดวงตาเป็นประกาย

“เขาว่า..มีแต่คนจนเท่านั้นที่จะเข้าใจกัน…”

Share Button

ยามเมื่อชีวิตใกล้ฝั่ง…

ยามเมื่อชีวิตใกล้ฝั่ง…

ใกล้ปีใหม่ใครบางคนรอพบเจอลูกหลาน เพื่ออยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวอีกครั้ง
คุณตาคุณยาย อีกหลายคนเลิกคิดเช่นนั้น.. พวกเขาใช้ชีวิตแต่ละวันเพียงลำพังโดยไม่หวังพบเจอใครอีก
มีแต่นับวันรอความตาย..ว่าเมื่อไหร่จะเรียกตัวให้เข้าไปพบเสียที

หลังจบกิจกรรมนันทนาการต่างๆ บรรยากาศภายในบ้านพักคนชรา บางเขน กลับสู่ความเงียบงัน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้สูงอายุ ไร้ลูกหลานดูแลและขาดที่พึ่งพิงทางกายและใจ
เชื่อว่า..ไม่มีใครในที่นี้คิดว่า ที่นี่คือสถานที่พักพิกสุดท้ายของชีวิต
ไม่มีใครอยากอยู่สถานสงเคราะห์ หรือที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเรือนตายของตัวเอง

ในสังคมผู้สูงอายุ ความภาคภูมิใจเดียวคือการได้มีใครสักคนดูแล และหากเป็นลูกหลานก็คงนอนตายตาหลับ
ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาเดียว
ค่านิยม ความเชื่อ ความชอบและวิถีชีวิตถูกปรับเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ
ความชราถูกทำเหมือนว่าไม่มีพื้นที่และตัวตนในสังคมยุคนี้
ความแก่ เป็นเรื่องโบร่ำโบราณ น่ารำคาญและไม่ฟังชั่นกับไลฟ์สไตล์ในโลกโซเซี่ยล

การส่งดอกไม้สวัสดีในทุกวันกลายเป็นเรื่องราวน่าขบขัน
การสื่อสารที่แท้จริงถูกเหมารวมไว้เพียงแค่หน้าจอโทรศัพท์
ชีวิตอันเรียบง่าย สงบงาม ปรากฏเพียงในโลกสมมติสวยงาม
หลังหน้าจอมือถือ .. เราละทิ้งแม้กระทั่งตัวเราเองในชีวิตจริง
วันสำคัญ สงกรานต์ เข้าพรรษา ปีใหม่ เหลือเพียงแต่พิธีกรรมและคนชราช่วยกันสืบทอด

บางครอบครัวหลงลืมว่ามีพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แม้ไม่ได้หวังให้ตอบแทนบุญคุณ
แต่ในส่วนลึกของหัวใจ ขอเพียงเศษเสี้ยวของเวลาและความห่วงใยที่มีให้กัน
ในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่ .. ไม่มีอะไรให้กังขา นอกเสียจากความรัก

ในยามที่ชีวิตว่ายเวียน จนใกล้จะถึงฝั่ง..
บางความน้อยใจได้รับคำตอบด้วยความเฉยชา
สองขาที่เคยสั่นเทากลับมีเรี่ยวแรง..ไม่ขออยู่เพื่อเป็นภาระ
บ้านพักคนชรา คือคำตอบสุดท้ายของชีวิต..ที่ที่จะไม่คิดถึงเรื่องราวความหลังและลูกหลาน
เสียงเพลง เพื่อนคุย และคนแปลกหน้า เพียงพอสำหรับการมีชีวิตอยู่ให้ผ่านไปวันๆ
ใครก็ได้ที่จะเข้ามาเติมเต็มทุกวินาทีของที่นี่ ให้ความเหงากลายเป็นความหวังของชีวิตที่เหลือ
…โครงการอาสามาเยี่ยม…

Share Button

“ผู้ช่วยของชีวิต” ในนามของ ฟืน ถ่าน และไฟ

 

“ผู้ช่วยของชีวิต” ในนามของ ฟืน ถ่าน และไฟ

ผืนดินอันเป็นที่ตั้งของบ้านปูนชั้นเดียวหลังน้อย เรือนไม้ผุพังหลังเก่า และโรงเพาะเห็ด
ผืนดินมรดกตกทอดที่ยายทวดมอบให้กับหลานสาวคนเดียวที่ยายทวดหวังฝากชีวิตที่เหลือไว้กับเธอ

ผืนดินที่ร้อนระอุทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์
ยายทวดวัยแปดสิบสี่ พยายามแบ่งเบาหลานสาวทุกทางเท่าที่พอจะทำได้
หญิงชราช่วยเลี้ยงหลานๆ ชายหญิงอย่างเต็มใจ ซ้ำเธอยังช่วยเผาถ่าน มันคือหนทางทำมาหากินที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด
เศษไม้กระถินก้านเล็กก้านน้อย ถูกนำมาบั่นทอนให้เป็นท่อนเท่าๆกัน ยายทวดทำมันด้วยสองมือที่ยังแข็งแกร่ง

“ฉันทำได้แค่นี้” ยายทวดบอกพลางมองไปที่เนินดินตรงหน้า
ควันสีเทาพวยพุ่ง คละคลุ้งไปทั่วบริเวณหน้าบ้าน อุตสาหกรรมเผาถ่านฉบับครัวเรือนเร่งผลผลิตเช้าค่ำ
ถ่านบรรจุหนึ่งกระสอบ 25 กิโลกรัม ราคา 200 กว่าบาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของหกชีวิตผู้ใหญ่และเด็ก

หลานเขยมีหน้าที่ออกไปหาไม้ฟืน เขาหมดตัวจากการถูกเพื่อนโกง หมดแรง หมดเงินทุนสร้างชีวิตใหม่
ออกหาไม้ฟืน ในพื้นที่รกร้างไร้เจ้าของ ป่ารกฎัก ที่อยู่ของงูสารพัดพิษ แม้ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน ก็ต้องทำ!!
ในที่ที่มีฟืนไม้ฟรีๆ สำหรับเผาถ่าน เป็นพื้นที่อันตรายที่ไม่มีใครกล้าเยื้องย่างเข้าไป
เขาถูกงูพิษกัดถึง 7 ครั้ง แต่เดชะบุญ เขารอดจากการตายในทุกครั้ง..
ไม่รู้ด้วยบุญพาวาสนาส่งหรืออย่างไร ทั้งๆที่ไม่ได้รักษาตัวในโรงพยาบาล และเป็นเพียงการรักษาตามอาการที่บ้าน
แต่เขาก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด .. รอดชีวิตเพื่อหาอยู่หากินต่อไป ..ดั่งสวรรค์มอบพรข้อสุดท้ายให้

ง่ายดาย..หลังหมดพรจากสวรค์เขาล้มลง ปลายกระดูกสันหลังแตกจนเดินไม่ได้และกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงในที่สุด
ยายทวดและภรรยาที่กำลังท้องใกล้คลอดจึงทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงทุกปากท้องในบ้านแทน

บนแผ่นดินมรดกผืนน้อยๆที่ยายทวดเก็บเอาไว้ให้หลานๆ สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้กับชีวิตที่ไม่มีทางเลือก
เนินดินร้อนระอุ บรรจุเศษไม้กระถินไว้เต็มเปี่ยม สองแรงช่วยกันแข็งขันสุมฟืน จุดไฟ รอเวลา
เมื่อฟืนกลายเป็นถ่าน มันจะมีค่าเท่ากับข้าวปลาอาหารและความหวังในวันถัดไป

ผืนดินอันแตกระแหง นอกจากให้กำเนิดต้นพริก ขิง ข่า ตระไคร้ และมะละกอ
มันมอบความอบอุ่น ให้แก่หัวใจอันแห้งผากของคนยากไร้ หมดหนทางต่อสู้

ในนามของฟืน ถ่านและไฟ มันไม่เคยต้องการสิ่งใดตอบแทน
เมื่อไม้กลายเป็นถ่านไฟลุกโชน เปรียบเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงชโลมหัวใจคนยากคนจน

Share Button

เมื่อลมแห่งความหวังพัดผ่าน..ต้นกล้าจะเติบโต

เมื่อลมแห่งความหวังพัดผ่าน..ต้นกล้าจะเติบโต

หากเราฝันถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบ คู่สามี ภรรรยากำลังนั่งเล่นพักผ่อนอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน
ลูกๆ ชาย หญิงกำลังวิ่งหยอกล้อกับหมาขนฟู ดูสนุกสนาน
บ้านหลังขนาดย่อม และรถเก๋งสักคัน สำหรับพาทุกคนในครอบครัวท่องเที่ยวไปด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์
ชีวิตดั่งละครตอนหัวค่ำ ชวนฝัน และหอมหวาน คงไม่มีใครปฏิเสธหากสวรรค์จะมอบคุณภาพชีวิตดีๆเช่นนี้ให้

ลูกสาวคนโตของครอบครัว สาวน้อยวัยห้าขวบเศษ หยิบไม้ตีกลองอันเล็กๆขึ้นมาพิจารณา
แบบใกล้ตาในระยะประชิด แล้วรอยยิ้มเล็กๆ ก็ค่อยแย้มออกมาแบบเก็บอาการไว้ไม่อยู่
พลันเอาไม้ตีกลองนั้นค่อยๆเคาะลงบนเครื่องดนตรีของเล่น .. แต่มันกลับไม่เกิดเสียง
เธอขมวดคิ้ว..ก่อนก้มหัวลงเอาดวงตาทั้งคู่ จิ้มลงไปที่ของเล่นตรงหน้า
พร้อมกันนั้นเด็กหญิงเอาไม้ตีกลองอันเล็กเคาะลงบนแผงโลหะ
แล้วเสียงดังตริ๊งงงง…. ก็แว่วดังออกมา พร้อมเสียงหัวเราะชอบใจของเธอ

เธอป่วยด้วยโรคตาขี้เกียจ ( Lazy eye หรือ Amblyopi)
มันทำให้การมองเห็นของเธอยากลำบาก มองเห็นได้เพียงริบหรี่ …จนเกือบมองไม่เห็น

“พ่อ พ่อ มารับหนูหน่อย เดี๋ยวก็ล้มอีกหรอก”.. เด็กน้อยพูดชัดแต่ช้าและเสียงยาน
นั่นเพราะด้วยพัฒนาการที่ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่เมื่อเทียบกับวัย เธออยากลุกไปขี่จักรยานที่เพิ่งได้รับบริจาคมา

“อยู่ตรงนั้นก่อน พ่อกำลังจะไป” พ่อที่ขาพิการเกือบลีบตะโกนบอกลูกสาว เขาเดินกระเผกพร้อมอุ้มลูกชายคนกลางวัยสี่ขวบไว้ในเอว วันนี้งอแงเป็นพิเศษเพราะไม่ได้นอนกลางวัน มัวแต่ตื่นเต้นรอพี่ๆทีมงานโครงการอาสามาเยี่ยม ที่สัญญาว่าจะมาในวันนี้ จนคล้อยบ่ายเพิ่งได้เจอหน้ากัน เด็กน้อยก็ฝืนความง่วงไว้ไม่ไหว

ร่างผอมบางของพ่อ นับวันจะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเดินไปถึงตัวลูกสาวคนโต
เขาเอาแขนที่เหลือคว้ามือเล็กๆของลูก แล้วค่อยๆพาเธอไปที่รถจักรยานคันใหม่

จักรยานเด็กสีน้ำเงินมือสองของบริจาคจากใครสักคนหนึ่ง
มันยังสวย ดึงดูดใจ ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนจักรยานคันใหม่
เธอดีดกระดิ่งพร้อมเอาสองตาพิจารณาชิ้นส่วนต่างๆของจักรยานใกล้ๆ
ลูกตาสีดำข้างหนึ่งหลบหายเข้าไปเกือบเต็มดวง อีกข้างเห็นเพียงครึ่ง
จะเห็นชัดหรือไม่ชัด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเธอ ..
การมีจักรยานไว้ให้เธอและน้องได้ขี่เล่น
นี่คือเรื่องดีใจที่ทำให้ตาของเด็กน้อยเป็นประกายแวววาวอยู่ทั้งวัน

ส่วนลูกชายถัดมาวัยสามขวบ ดูเงียบขรึม แต่ซ่อนแววตาซุกซน
นั่งอยู่บนตักยายทวดไม่ไปไหน เด็กชายตัวน้อยไม่ยอมพูดยอมจา
ในวัยสามขวบกว่า เขาควรจะพูดได้อย่างน้อยก็เรียกพ่อหรือแม่
การไม่พูดของเด็กชายทำให้แม่ของลูกๆ รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ถ้าลูกชายคนนี้มีปัญหาทางสุขภาพเสียอีกคน ใจของคนเป็นแม่คงมีความสุขไม่ได้

วันนี้ลานดินหน้าบ้าน ทำหน้าที่เป็นหลุมเผาถ่าน แผ่นดินร้อนระอุ คละคลุ้งไปด้วยกลุ่มควันพวยพุ้ง
ถ่านหนึ่งกระสอบ ขายได้ราคาสองร้อยกว่าบาท เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
กับข้าวเย็นนี้เป็นเห็ดชุบแป้งทอด ยิ่งเอร็ดอร่อยเมื่อได้น้ำจิ้มสูตรเด็ดของแม่

ครอบครัวนี้ได้รับบริจาคเป็นตู้เย็นมือสอง ข้าวสาร ปลากระป๋อง ของแห้ง นม ขนม เสื้อผ้า หมอน ผ้าห่ม
และที่สำคัญ ของใช้สำหรับเด็กเล็ก ซึ่งถือเป็นของบริจาคที่ล้ำค่าสำหรับเด็กแรกเกิด
ลูกสาวคนสุดท้องที่เพิ่งเกิดมาได้เพียงสองอาทิตย์ โชคดีที่แม่มีนมอุ่นๆจากอกไว้ให้ลูกสาวดูดกินได้ทุกเมื่อ
และเหมือนเด็กน้อยรู้ถึงสถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างดี เธอจึงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ร้องเมื่อหิว พออิ่มก็นอนหลับ

และแม้ว่าตู้เย็นจะมีเพียงแค่ขวดน้ำเปล่าแช่ไว้ เพราะบ้านนี้ไม่เคยมีอาหารเหลือพอเก็บค้างคืนในแต่ละวัน
แต่การมีน้ำเย็นๆไว้ดื่มกินก็ดีเหลือเกิน มันช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหน้าเตาไฟร้อนๆ
และเด็กๆก็มักจะเลิกงอแงเมื่อได้จิบน้ำเย็นจากตู้เย็นใบนี้

เมื่อมีเวลาทุกคนในบ้านจะช่วยกันนำเห็ดนางฟ้าภูฏานไปขายเป็นรายได้เสริม
ความฝันที่รอวันเป็นจริง ..หากว่ามีเงินเก็บสักก้อน
สิ่งแรกที่จะทำคือพาเด็กๆไปหาหมอที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดสักครั้ง..

แม้ว่าบ้านหลังนี้จะผุๆพังๆ แต่มันก็พอกรองแดด บังฝนได้
แม้ว่าลูกสองคนจะไม่เหมือนกันเด็กคนอื่นๆ แต่ก็จะพยายามรักษาให้หายในสักวัน
แม้ดูเหมือนว่าทุกคนจะป่วยไข้และไม่สบาย แต่ความสุขของการทุกข์ร่วมกันก็พอบรรเทาความรันทดใจได้อยู่บ้าง
แม้ว่าจะมีหลักประกันสุขภาพ บัตรทอง สามสิบบาท แต่ค่ารถก็แพงเหลือเกินด้วยบ้านเราอยู่ไกลปืนเที่ยง..

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…สิ่งละอันพันละน้อย..ของบริจาคจากคนแปลกหน้า ช่วยให้ช่องว่างระหว่างคนลดลงได้ ..
เหลือเพียง…รอ..ความจนและความรวยค่อยๆเชื่อมเข้าหากัน…

Share Button

เห็ดนางฟ้าภูฏาน “ยาต้านเศร้า” ฉบับคนจน

เห็ดนางฟ้าภูฏาน “ยาต้านเศร้า” ฉบับคนจน

“วันนี้ล่ะ วันนี้เหมาะที่สุดสำหรับการฆ่าตัวตาย” ใครบางคนกระซิบอยู่ที่ข้างหู
ผมไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร แต่เป็นประโยคคำสั่ง “ให้ผมฆ่าตัวตาย” ดังแว่วมาวันเว้นวัน
ผมต่อสู้กับเสียงได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งเห็นร่างกายที่นับวันยิ่งจะซูบผอมของลูกและเมีย
ผมก็ยิ่งอยากตายให้เร็วที่สุดเพื่อหยุดเรื่องราวความลำเค็ญตรงหน้า
ข้าวสารไม่มีกรอกหม้อ ฟ้านับวันยิ่งมืดมน ผมป่วยทั้งกายและใจไร้ทางต่อสู้
ไม่มีทั้งทุนทรัพย์และแรงใจไฟฝัน แม้กระทั่งความรู้สึกอยากหายใจเข้าหายใจออกก็ดูขัดขืน

“ผมผ่านการฆ่าตัวตายมาแล้ว 3 ครั้ง”
และเกือบทำสำเร็จในครั้งสุดท้ายพร้อมเชือกที่ถูกทำให้เป็นบ่วงเสร็จสรรพ
เหลือเพียงขยับร่างที่ไร้เรี่ยวแรงและชูคอให้แข็งเพื่อคล้องลงในบ่วงนั้น
วินาทีถัดไป…ผมจะไม่เป็นภาระใครอีก

ไม่รู้ว่าฟ้าดินกลั่นแกล้งหรืออย่างไร ลูกชายคนกลางเดินเข้ามาและจ้องมอง
ผมเลยต้องหยุดการตายเพื่อหนีปัญหาไว้เพียงเท่านี้..
และนี่คงไม่ใช่ทางออกของความทุกข์ยาก

หลังจากที่ผมป่วยด้วยโรคปลายประสาทกระดูกสันหลังแตก
วันหนึ่งในขณะกำลังเผาถ่านเพื่อเลี้ยงอีก 6 ปากท้อง
อยู่ๆผมก็เดินเสียหลักและล้มลง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไม่ได้อีกเลย
เมียกำลังตั้งท้องลูกคนที่สี่ เธอสู้งานหนักแบบไม่ปริปากบ่น จนผมรู้สึกละลายใจ

ยายทวดของเด็ก เลี้ยงหลานชายหญิงวัยกำลังซน ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
งานเผาถ่าน เป็นสิ่งเดียวที่หญิงแก่วัยแปดสิบกว่าๆจะทำได้
ใจหนึ่งอยากตาย..อีกใจหนึ่งก็อยากให้เมียตายก่อน “ผมรักเธอมาก”
และไม่อยากให้เธอต้องเผชิญชีวิตที่ยากลำบากอย่างทุกวันนี้ ..
หากเธอตายไปซะ ความทุกข์ยากทั้งหมดนี้เขาจะขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

หากแต่…

ทันทีที่ถุงเพาะเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฏานเดินทางมาถึงบ้านของเรา
ผมรั้งน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่ไหว แอบไปร้องไห้ไม่ให้ใครเห็นอยู่หลังบ้าน
ทันควันผมขว้างไม้ค้ำร่างทิ้ง มันไม่ใช่ตัวช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นอีกต่อไป
“เห็ดนางฟ้าภูฏาน” ที่กองอยู่ตรงหน้าต่างหาก มันคือประตูสู่ความหวังใหม่อีกครั้ง

ผมกลับมาเดินอีกครั้ง..เดินทั้งที่ยังเดินไม่ค่อยได้ แต่ผมก็เดิน
ก้าวไปข้างหน้าแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ผมไม่อาย
เพราะนี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย..ที่จะทำให้ชีวิตผมห่างออกจากความยากจน
แม้เพียงน้อยนิด..ผมก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น

ผมว่าครอบครัวของเรามาไกลเกินฝัน หนึ่งวันก่อนที่ทีมอาสามาเยี่ยมจะนำเห็ดมาให้
ผมคุยกับเมียว่า เราจะรอดถ้าเราได้เห็ดมาเพาะเลี้ยงไว้ที่บ้านสักยี่สิบถุง
ยังไม่รู้ว่าจะขอจากใคร ..แต่ก็พอมีความหวังว่า “เห็ด” ที่ออกดอกออกผลทุกวัน
จะสามารถนำมาประกอบอาหาร ต้มยำทำแกงได้ ในยามขาดแคลน

เห็ดนางฟ้าภูฏานกว่า 600 ถุงทยอยลงจากรถ เสียงคำสั่งแว่ว แผ่วเบาที่เคยกังวาลอยู่ในสมอง
เลือนหายไปอย่างกับไม่เคยเกิดขึ้น ในวันที่เห็ดดอกแรกผลิบาน ผมเห็นรอยยิ้มของเมียลูกๆและยายทวด
ใจผมยิ้มตาม ผมในฐานะหัวหน้าครอบครัวทำให้ทุกคนยิ้มได้และอิ่มท้องอีกครั้ง

ผมไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่า เสียงของปีศาจร้ายที่คอยเฝ้าหลอกหลอนอยู่ข้างหูทั้งเช้าค่ำ
คืออาการของคนที่ป่วยทางจิตเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง และผมมีสิทธิฆ่าตัวตายได้ในทุกวินาที
และนั่นจะด้วยความรู้หรือไม่รู้ มีสติหรือไม่มีสติ ก็ตาม
โรคซึมเศร้าไม่เคยเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคนคนนั้นจะร่ำรวยหรือยากจน
หากแต่ว่าง่ายดาย มันดันแพ้คนใจสู้หลังชนฝาและประกายตาแห่งความหวังอันแรงกล้าของผม ..

Share Button