ค่าแรงที่ได้ จะเก็บไว้เป็นทุนเรียนต่อ


“หนูอยู่กับตายาย ตอนนี้ท่านก็ 60 กว่าแล้ว แต่ก่อนที่บ้านเราก็พอมีพอกิน เปิดร้านอะไหล่รถยนต์มือสองจากญี่ปุ่น แต่พอเศรษฐกิจไม่ดี หลังจากจบ ม.6 ที่บ้านก็ไม่มีเงินให้เรียนอีกแล้ว ก็พยายามดิ้นรน หาทางกู้ กยศ.บ้าง ทำงานไป เรียนไปบ้าง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ”

ถ้าเรียนตามเกณฑ์ ปีนี้จะเป็นปีที่ “เฟอรี่” สำเร็จการศึกษา แต่ถึงแม้ว่าวันนี้ จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่เธอยังคงไม่ละความตั้งใจ

“หนูอยากเรียนต่อทุกวัน” เธอว่า ถ้าเธอไม่เรียน โอกาสของเธอจะน้อยกว่าคนอื่นๆ

“โอกาสมันน้อยจริงๆ นะพี่ ถ้าได้เรียนอีกครั้ง หนูจะเลือกเรียนการจัดการ เพราะกว้างดี หางานง่าย”

เฟอร์รี่เป็นเด็กเรียบร้อย ยิ้มเก่งกว่าพูด เป็นมดงานที่ทำงานอย่างไม่อิดออด ไม่ปริปากบ่นเหนื่อยให้ได้ยิน ทุกวันเธอจะมาทำงานแต่เช้า รับหน้าที่อยู่ในทีมคีย์ข้อมูลกล่องแบ่งปัน และดูแลนำส่งกล่องทั้งหมด 300 กล่องขึ้นรถไปรษณีย์ให้ทันในตอนเย็น เพื่อส่งถึงผู้เดือดร้อนให้เร็วที่สุด

“มาทำงานที่นี่ ได้เห็นว่ามีคนเดือดร้อนจากโควิดมากจริงๆ ชีวิตหนูว่าลำบากแล้ว แต่มีคนที่ลำบากกว่าหนูอีกมาก บางครอบครัวหนูรับรู้เรื่องของเขาแล้วอยากจะร้องไห้ ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ จะสู้กันยังไง”

“การมาทำงานที่มูลนิธิครั้งนี้ จึงเป็นงานที่มีคุณค่าสำหรับหนู ได้ช่วยเหลือ ได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นอีกเยอะเลย ที่หนูทำไป ก็ได้หลายพันกล่องแล้วนะคะ”

เฟอรี่บอกกับเราว่าน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานในครั้งนี้ จะเป็นเงินเก็บให้เธอได้กลับไปเรียนต่ออีกครั้ง

ธีร์จุฑา หาญณรงค์ (เฟอรี่)
สมาชิกทีมคีย์ข้อมูลนำส่งกล่องแบ่งปัน

Share Button

พี่โจ้ ณัฐพล สิงห์เถื่อน หัวหน้าโครงการอาสาดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา

“เราเห็นชาวบ้าน วิ่งขึ้นไปดับไฟป่ากัน เป็นกลไกแรกเลยนะ แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เราจะนิ่งเฉยไม่ทำสิ่งนี้ไม่ได้แล้ว จังหวัดเชียงรายมีไฟป่าทุกปีนะ ไฟป่ามันคือที่มาของ PM2.5 อากาศที่เป็นมลพิษไง ที่ตั้งของสำนักงานมูลนิธิกระจกเงาเชียงราย บางวันค่า PM2.5 มันเกินมาตราฐาน จนมองเห็นด้วยตาเปล่าเลยว่า ท้องฟ้ามันเหลืองไปหมดเลย หายใจกันไม่ออกแล้ว จนวันนีง ไฟป่ามันโอบล้อมที่ตั้งมูลนิธิ เสียงไฟที่มันกำลังไหม้ต้นไม้ ไหม้กอไผ่ มันเสียงดังมากจนน่ากลัว เรามองเห็นปัญหาแล้ว มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว

“เราก็เริ่มระดมอาสาสมัครทั้งในพื้นที่ ในชุมชน และคนจากข้างนอก จัดหาเครื่องไม้เครื่องมือ จัดตั้งทีมชุดปฏิบัติการดับไฟป่า เพื่อสนับสนุนการดับไฟป่า ปกติชาวบ้านเวลาจะดับไฟป่า เขาใช้การลาดตระเวนเดินเท้าขึ้นที่สูง เพื่อดูกลุ่มไฟ เราก็มาใช้โดรนช่วยระบุพิกัดที่ชัดเจน แม่นยำ แล้วมุ่งตรงไปดับไฟป่าได้ทันที นอกจากนี้ยังนำกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์วิบาก มาขนส่งอาหาร เสบียงและอุปกรณ์จำเป็น ลดภาระการให้แรงกายในการขนของ จะได้เอาแรงที่มีไปใช้ในการดับไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เราเหมือนกำลังทำสงครามกับไฟป่านะ ต้องประเมินสถานการณ์โดยตลอด ต้องวางแผน เข้าตีตรงไหน จะรบตรงไหน ช่วงไหนข้าศึก คือ กลุ่มไฟกำลังอ่อนแรง นี่เราต้องรีบเข้าตีเลยเข้ารบเลย ตอนไหนไฟแรงมาก ข้าศึกกำลังคึก เราก็ต้องมีแผนรับมืออีกแบบ ยังรบไม่ได้ แล้วใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่อสู้ทุกรูปแบบนะ โดรนนอกจากจะใช้บินระบุตำแหน่งไฟแล้ว ยังบินคุ้มกันทีมงานที่กำลังดับไฟ ให้เขารู้ว่า จุดไหนไฟกำลังโหมหรือควันเยอะ ตอนนี้เราขนปั้มน้ำขนาดเล็กไปด้วย เจอห้วยเจอลำธารที่ไหน เราปั้มน้ำลากสายยางไปฉีดเลย

“ข่าวเรื่องคนเสียชีวิตจากการไปดับไฟป่า ทำให้เราต้องตระหนักและระมัดระวังทีมงานอยู่ตลอด ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตทุกท่าน การดับไฟในป่าเป็นเรื่องที่มีความอันตรายอยู่ทุกวินาที เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เราต้องวางแผนให้รัดกุม คำนึงว่าไฟทุกที่มีอันตรายหมด ต้องสู้ต้องรบในพื้นที่ที่เราถอยได้ ในทีมต้องดูแลกันและกัน ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ไม่อยากเห็นความสูญเสียจากความเสียสละนี้
.
“แต่ถึงที่สุดเรายังไม่ใช่ตัวจริงนะ เราคืออาสาสมัคร จริงๆมีเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าอยู่ แต่เทียบปริมาณงานกับจำนวนคน งบประมาณ ระบบระเบียบของราชการ มันไม่สอดคล้องกัน มันมีข้อจำกัดที่ต้องช่วยสนับสนุน ในขณะที่ชาวบ้านก็คือคนแรกเลยที่วิ่งออกไปดับไฟ เพราะมันอยู่ใกล้ชุมชนเขา แต่เขาทำได้แค่หักกิ่งไม้มาตีมารบกับไฟอยู่เลย เลยต้องสนับสนุนเขา ทั้งงบประมาณ อาหาร เครื่องมือ เทคโนโลยี ให้เขาไปรบกับไฟได้ มันเป็นงานที่ต้องได้รับการสนับสนุน

“นี่เดือนกว่าๆแล้วที่รบกับไฟป่าแทบไม่มีวันพัก แต่ดับไฟได้แล้ว มันเหมือนได้ชัยชนะ แต่ความจริงการรบไม่ใช่แค่แพ้ชนะไง แต่ค่ามลพิษ PM2.5 มันจะลดลง คุณภาพอากาศโดยรวมมันจะดีขึ้น เพราะเราอยู่ที่นี่ไง เราได้รับผลกระทบต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายโดยตรง เพราะนี่คือบ้านของเรา”

พี่โจ้ ณัฐพล สิงห์เถื่อน
หัวหน้าโครงการอาสาดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา

________________________________________

คุณสามารถร่วมสนับสนุนภารกิจอาสาดับไฟป่า
โดยบริจาคเป็นค่าอาหาร เครื่องดื่มชูกำลัง อุปกรณ์ดับไฟ
ได้ที่ชื่อบัญชีกองทุนภัยพิบัติ (Special Force)
เลขที่บัญชี 202-258298-3 ธ.ไทยพาณิชย์
ต้องการข้อมูลเพิ่มโทร. 094-878-6447

#อาสาดับไฟป่า #มูลนิธิกระจกเงาเชียงราย

Share Button

พี่เอก เอกชัย พรพรรณประภา อายุ 58 ปี อาสาสมัครดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา

“ผมตัดสินใจลาออกจากชีวิตราชการ มาเป็นข้าราชการบำนาญ ด้วยความที่เราเป็นเด็กทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอรับราชการก็ทำงานภาคสนามมาตลอด แต่ชีวิตมันต้องการทั้งความสนุกและความสุข เลยตัดสินใจลาออกมา หาความสนุก ความสุข และหาคุณค่าในชีวิตไปพร้อมกัน

“สามปีที่ลาออกจากราชการมา ผมเริ่มไปเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง มีหน้าที่รับให้คำปรึกษาผู้ป่วย HIV และการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ทางโทรศัพท์ จากนั้นได้มาเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิกระจกเงา ในโครงการอาสาสร้างบ้าน ไปช่วยซ่อมบ้านอยู่ 2 หลัง ให้กับผู้ป่วยติดเตียง และครอบครัวที่จนยาก คือสภาพบ้านที่เป็นเห็นตอนนั้นมันไม่เหมาะที่มุนษย์จะไปอยู่ได้ ก็ไปช่วยซ่อมสร้าง ตอกตะปู แบกหินปูนทราย ทำจนเขาเข้าไปอยู่ในบ้านได้อย่างปลอดภัย ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าของบ้านที่เราไปซ่อมบ้านให้ มันมีความสุข ผมยังจำรอยยิ้มทั้งน้ำตาบนใบหน้าเจ้าของบ้านได้จนถึงทุกวันนี้

“จากนั้นเห็นประกาศรับสมัครอาสาดับไฟป่า ที่เชียงราย ก็เลยตัดสินใจมาร่วมด้วย พอมาถึงวันแรกเห็นคนกุลีกุจอ เตรียมลงพื้นที่ออกไปดับไฟป่า ด้วยความที่เราอาวุโสกว่าเขาเพื่อน น้องๆก็เรียกเราว่าลุงเอก ที่นี่ผมทำหน้าที่อาสาสมัครหลายหน้างาน ทั้งขี้นไปทำแนวกันไฟก่อนไฟจะมา ถ้าตรงไหนมีไฟก็ขึ้นไปช่วยดับไฟเพื่อไม่ให้เกิดควัน และได้รับมอบหมายจากทีมไปให้ร่วมประชุมวางแผนดับไฟป่าร่วมกับหน่วยงานอื่นๆด้วย

“งานดับไฟป่า เป็นงานที่เหนื่อยและหนักมากนะ แถมเสี่ยงอันตรายด้วย กดดันจากไฟและควันที่อยู่ตรงหน้าเรา ยิ่งได้ข่าวว่ามีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดับไฟป่า ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร โดยเฉพาะทีมพวกเรา ที่ได้ทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายวัน ต้องช่วยดูแลกัน ผมเป็นคนแก่เนอะ ก็จะเคร่งครัดกับน้องๆที่เป็นวัยรุ่น เป็นห่วงเขา การไปดับไฟป่า ต้องระมัดระวังตัวเองสูง ผมเคยพลาดสะดุดตอไม้ตอนไต่ลงเขา ซึ่งข้างๆเป็นกลุ่มไฟและเหว จนได้รับบาดเจ็บ โชคดีน้องๆที่ไปด้วยกันคว้าแขนช่วยไว้ได้ทัน

“ผมมาเป็นอาสาสมัครดับไฟป่าตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 ทำงานกันหนัก เกือบทุกวันแทบไม่ได้หยุดพักเลย ลุยกันทุกวัน แต่ได้เห็นความสำเร็จ เราทำแนวกันไฟจนหยุดไฟไม่ให้ข้ามมาไหม้ป่าที่เหลือได้ ในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ เราเรียนรู้มัน เรารู้จักมัน จนคุมมันไว้ได้ ซึ่งไฟป่านี่แหละคือต้นกำเนิดของควัน ของมลพิษที่เราหายใจกันเข้าไปแล้วเราหยุดไฟได้มันคือความภูมิใจ

“ผมอยากจะบอกในฐานะความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เราอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าเราลองได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น มองเห็นคนอื่น มองไกลๆไปจากตัวของเราเอง เราจะเริ่มนับถือตัวเองได้ สิ่งเหล่านี้จะหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจ เชื่อว่าทุกคนอยากทำสิ่งที่ดี และถ้าเราได้ทำสิ่งที่ดีนั้นเพื่อคนอื่นด้วย นั่นแหละคือความสุข”

พี่เอก เอกชัย พรพรรณประภา อายุ 58 ปี
อาสาสมัครดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา

#อาสาดับไฟป่า #มูลนิธิกระจกเงาเชียงราย

Share Button

การอ่าน คือเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา” หลายเล่มโปรด หลากปัญญา จาก 5 นักการเมืองไทย

“การอ่าน คือเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา” ยังคงเป็นเรื่องจริงที่น่าอัศจรรย์ ยิ่งได้อ่านหนังสือดีมากเท่าไหร่ ปัญญาที่ดีก็ย่อมชูช่อเบ่งบานมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่ออยากมีปัญญาที่ดี ก็ต้องเลือกหนังสือที่ดีมาอ่าน ซึ่ง
“หนังสือที่ดี” นั้นไม่ได้หมายถึง “หนังสือที่เขียนด้วยถ้อยคำดี ๆ ภาษาสวยงาม” หากแต่เป็นหนังสือที่อ่านแล้วทำให้เราได้ข้อคิด เกิดมุมมองใหม่ ๆ สะท้อนปัญหาและก่อให้เกิดปัญญาที่จะนำไปใช้กับชีวิตได้จริง การ “เลือกหนังสือ” จึงไม่ต่างจากการ “เลือกคบคน” บางเล่มอ่านแล้วตกหลุมรักทันที บางเล่มอ่านตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่มีมุมไหนที่ทำให้ประทับใจได้เลยแม้แต่น้อย บางเล่มอ่านไม่ทันจบก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว บางเล่มต้องใช้เวลาอ่านทวนอยู่หลายรอบกว่าจะเข้าใจและชอบพอ ฯล แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในหนังสือดี ๆ หนึ่งเล่ม ย่อมทำให้ผู้อ่านเกิดปัญญาที่ดีและแนวคิดที่เหมาะสมต่อชีวิตตนมากกว่า 1 อย่าง เหมือนกับหนังสือเล่มโปรดของ 5 นักการเมืองจากทั้ง 5 พรรค ที่พวกเขายกให้เป็นหนังสือที่ช่วยเปลี่ยนความคิดและสร้างคุณค่าให้กับชีวิตกันเลยทีเดียว และนี่คือข้อดีที่พวกเขาได้รับจากหนังสือเล่มโปรดเหล่านั้น

พริษฐ์ วัชรสินธุ (ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์)
เล่มโปรด : ทฤษฎีความยุติธรรม (A Theory of Justice)
ผู้เขียน : จอห์น รอลส์ (John Rawls))/ ประเภท : ทฤษฎีปรัชญาเศรษฐศาสตร์

“หนังสือเปลี่ยนชีวิต, ‘จอห์น รอลส์’ เปลี่ยนความคิด”

“มีหนังสือหลายเล่มที่เปลี่ยนชีวิตผม ตอนเด็ก ๆ ชอบอ่านนิยาย แต่โตมาชอบอ่านแนวเศรษฐศาสตร์ สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ประเทศอังกฤษ สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ ผมมีโอกาสอ่านหนังสือแนวนี้หลายเล่มด้วยกัน มันเลยตอกย้ำสังคมที่ผมอยากสร้าง และหนังสือ “ทฤษฎีความยุติธรรม” (A Theory of Justice) ของ “จอห์น รอลส์” ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่ช่วยหล่อหลอมความคิดทางการเมืองของผม “รอลส์” เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเรื่อง “โลกที่ยุติธรรมเป็นอย่างไร” เขาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเรื่องการศึกษา เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ผมคิดถึงคำว่า “ยุติธรรม” จริง ๆ นั้นมีความหมายอย่างไร ซึ่งก็ทำให้ผมได้คิดว่า “โลกที่เราออกแบบเองนั่นแหละคือโลกที่ยุติธรรมสำหรับเรา” การอ่านหนังสือช่วยสร้างมุมมองและไอเดียใหม่ ๆ ให้กับเรา ช่วยเปิดโลกอีกด้านที่เราอาจจะไม่เคยรู้ ก็อยากชวนให้ทุกคนหันมาอ่านหนังสือกันเยอะ ๆ นะครับ”

ภูวพัฒน์ ชนะกูล (ผู้สมัครส.ส.พรรคเสรีรวมไทย)
เล่มโปรด : Baki (ผู้แต่ง : เคสุเกะ อิตางากิ), โคโค สลัดจอมลุย (เรื่องและภาพ : ฮิเดยูกิ โยเนฮาระ), แฮรี่ พอตเตอร์ (ผู้เขียน : เจ.เค. โรว์ลิง)/ ประเภท : การ์ตูน, แฟนตาซี

“หนังสือ คือเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ดีของชีวิต”

“ในชีวิตของคนทุกคนมีเรื่องให้ต้องคิด ต้องทำ ต้องรับผิดชอบมากมาย และแน่นอนว่าหลายครั้งเราเครียดและเหนื่อยล้ากับสิ่งที่ต้องเผชิญเหล่านั้น หนังสือจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้ เป็นเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ดีอย่างหนึ่งของชีวิต แนวที่ผมชอบก็เลยจะต้องอ่านแล้วสนุก ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งก็จะเป็นหนังสือการ์ตูนหรือแนวแฟนตาซีเป็นส่วนใหญ่ อย่างเรื่อง “บากิ, โคโค สลัดจอมลุย และแฮรี่ พอตเตอร์” เป็น 3 เรื่องที่ผมชอบมาก และอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน นอกจากข้อดีที่ผมบอกข้างต้นแล้ว ยังได้เรื่องของจินตนาการอีกด้วย จินตนาการนี่แหละที่จะทำให้เราต่อยอดความคิดดี ๆ ได้หลากหลาย ก็อยากฝากให้ทุกคนอ่านหนังสือกันเยอะ ๆ นะครับ เราจะได้รับสิ่งดี ๆ จากโลกของอ่านหนังสืออย่างแน่นอน”

กัญจนา ศิลปอาชา (หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา)
เล่มโปรด : มรณสติ/ ประเภท : ธรรมะ

“หนังสือธรรมะ เปรียบดั่งพระธรรมนำทาง”
“หนังสือที่ชอบอ่านจะเป็นแนวธรรมะค่ะ เพราะอ่านแล้วทำให้เราเข้าใจความจริงแท้ของชีวิตมนุษย์และพ้นทุกข์ได้จริง แต่จะไม่ยึดติดว่าต้องเป็นของครูบาอาจารย์ท่านไหนนะคะ จะเลือกเล่มที่ถูกกับจริตของตัวเองมากกว่า ซึ่งก็จะชอบแนวที่ทำให้เรามีสติ และบ่มเพาะปัญญาของเราให้เกิดขึ้นได้เอง เหมือนอย่างหนังสือเรื่อง “มรณสติ” เป็นเล่มที่อ่านแล้วชอบมาก จะสอนเรื่องการเตรียมตัวก่อนตาย ซึ่งในทางพุทธศาสนาบอกไว้ว่า จิตสุดท้ายเป็นจิตสำคัญที่จะกำหนดชาติภพของเรา การมรณสติจะสอนให้เราไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราจะตายเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่การเตรียมตัวตายให้พร้อมด้วยจิตที่ผ่องใสก่อนตายนั้นสำคัญ หนังสือเล่มนี้เป็นบทความขนาดสั้นของครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน อาทิ ท่านพุทธทาสภิกขุ, หลวงปู่ช้าง กนฺตสาโร, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นต้น เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ”

ณหทัย ทิวไผ่งาม (รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ)
เล่มโปรด : หลังรอยยิ้ม เรื่องเล่าพลิกฟื้นตัวตนและชุมชนชายแดนใต้ (โดย : เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ และองค์กรภาคี)/ ประเภท : สารคดี

“ได้อ่านหนังสือ “หลังรอยยิ้มฯ” เมื่อครั้งได้ไปทำงานที่ภาคใต้ค่ะ ตอนนั้นนำโครงการสอนภาษาอังกฤษไปสอนเด็ก ๆ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อ่านแล้วรู้สึกชอบ เป็นบทบันทึกชีวิตและชะตากรรมของผู้ที่ได้รับผลกระจากสถานการณ์ชายแดนใต้ ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับความรุนแรง ความเจ็บปวด และความสูญเสีย ขณะเดียวกันหนังสือเล่มนี้ก็ชวนเราตั้งคำถามและค้นหาความหมายของ ‘ความหวัง’ แม้วันนี้หลายคนพอจะยิ้มออกได้บ้าง แต่หลัง ‘รอยยิ้ม’ เหล่านั้นคือ ‘รอยช้ำ’ ของชีวิต และการต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ ยังพูดถึงเรื่องธรรมะ พูดถึงชาวพุทธ ชาวมุสลิมและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งหลายเรื่องสิ่งที่เราได้ยินมานั้นมันไม่ใช่ความจริง พอพูดถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้เราก็กลัวแล้ว น้อยคนที่อยากจะไป แต่จริง ๆ แล้วธรรมชาติของ 3 จังหวัดนี้มีความสดอยู่มาก ต้นไม้ ทะเล และมิตรภาพที่ดีของผู้คน วิถีชีวิตที่งดงาม ผู้คนเขียน ๆ ได้ดีมาก สามารถถ่ายทอดถ้อยคำออกมาได้ดี อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วย ก็อยากชวนทุกคนมาอ่านหนังสือเล่มนี้กันนะคะ เราจะได้เข้าใจพี่น้องที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น รวมถึงอยากชวนให้อ่านหนังสือกันเยอะ ๆ ค่ะ เพราะการอ่านเป็นการช่วยเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจให้เรามากขึ้นค่ะ”

“ไพบูลย์ นิติตะวัน” (หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป)
เล่มโปรด : แก่นพุทธศาสน์ (รวบรวมปาฐกถาของพุทธทาสภิกขุ)/ ประเภท : ธรรมะ

“แก่นพุทธศาสน์ เป็นหนังสือที่ผมประทับใจมาก เป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายให้ผมคิดในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมธรรมะของพระพุทธทาสภิกขุที่ได้ไปปาฐกถา ณ โรงพยาบาลศิริราชรวม 3 ครั้งระหว่าง พ.ศ. 2504 – 2505 และยังได้รับยกย่องให้เป็นหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ.2508 จากองค์การยูเนสโกแห่งสหประชาาติ อีกทั้งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย “แก่นพุทธศาสน์” พูดถึงใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนาในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็น “ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา หัวใจของพุทธศาสนา คือสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น, ความว่าง ธรรมที่เป็นประโยชน์แก่ฆราวาส คือเรื่องสุญญตา, วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง การปฏิบัติเพื่อความว่างมี ๓ โอกาส…ปรกติ กระทบ จะดับจิต และยอดปรารถนาของมนุษย์ จิตวุ่นทำการงานเป็นทุกข์ จิตว่างทำการงานสนุกไปหมด..” ซึ่งก่อนที่ผมจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมได้เข้าใจในพระพุทธศาสนาอีกมิติหนึ่ง เป็นมิติของพิธีกรรม อาทิ การเข้าวัด สวดมนต์ สะเดาะเคราะห์ หรือทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาอะไรต่าง ๆ แต่พอได้อ่าน “แก่นพระพุทธศาสน์” แล้วก็เข้าใจว่า จริง ๆ แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้นเป็นการสอนธรรมมะ สอนให้เรารู้เรื่องทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ สอนให้รู้วิธีดับทุกข์ ไปจนถึงหนทางแห่งการดับทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปเจ็บปวดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคต ซึ่งอ่านอย่างเดียวไม่ได้ประโยชน์ ต้องนำมาปฏิบัติด้วย ก็อยากให้ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันครับ”

“ปัญญา” เกิดได้จากการได้ยิน ได้ฟัง ได้คิด ได้วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ รวมถึงการได้ “อ่าน” ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้เกิดปัญญา และพัฒนาให้ปัญญานั้นงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป

Share Button

หนังสือในดวงใจ รถไม้..ของขวัญ ในวัยวันฉัน 8 ขวบ

หนังสือในดวงใจ รถไม้..ของขวัญ ในวัยวันฉัน 8 ขวบ

ย้อนกลับไปเมื่อตอนฉันอายุได้ 8 ขวบ และกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ณ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาพักเที่ยงหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ฉันจะชวนเพื่อนไปห้องสมุดด้วยกัน หรือถ้าเพื่อนไม่อยากไป ฉันจะไปคนเดียว และทันทีที่ถอดรองเท้าหน้าห้องสมุด ฉันจะรีบวิ่งจี๋ไปที่ชั้นวางหนังสือนิทานแล้วหยิบ เรื่อง รถไม้..ของขวัญ มาเปิดอ่านในทันที ฉันอ่านมันซ้ำๆในทุกวันอย่างโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย และที่สำคัญฉันจะจับจองนิทานเล่มนี้ไว้ในอ้อมอกหรือเก็บไว้ใกล้ตัว แม้ว่าจะกำลังอ่านนิทานเล่มอื่นๆอยู่ ฉันไม่อยากให้ใครเอานิทานเล่มนี้ไปครอบครอง..

และฉันก็ทำเช่นนั้นทุกครั้งที่มีโอกาสไปที่ห้องสมุด ฉันชอบขวัญ เด็กชายที่มีความมุ่งมั่น สามารถประดิษฐ์ของเล่นจากเศษไม้จนเป็นรถไม้ที่ถีบได้จริง ตอนนั้นฉันอยากทำได้อย่างขวัญมากๆ อยากมีรถไม้เป็นของตัวเอง

เนื้อหาของนิทานเล่มนี้เล่าถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อขวัญ ขวัญเป็นเด็กวัด ฐานะทางบ้านยากจน ในทุกเช้าขวัญจะเดินตามหลวงพ่อออกบิณฑบาตร มีอยู่วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาเลิกเรียนขวัญเดินผ่านบ้านเด็กคนหนึ่งชื่อแก้ว ครอบครัวของแก้วมีฐานะร่ำรวย และขวัญเห็นแก้วกำลังขี่รถจักรยานยนตร์ไฟฟ้า ขวัญได้แต่เกาะรั้วเฝ้ามองแก้วและเพื่อนๆกำลังเล่นของเล่นที่มีทั้งรถจักรยานยนตร์ไฟฟ้า หุ่นยนตร์ รถบังคับวิทยุ แก้วกับเพื่อนๆเห็นขวัญเข้าก็เลยโวยวายต่อว่าและทำท่าทีรังเกียจและพากันดูถูกขวัญถึงขั้นบอกให้ไปกินดิน ขวัญได้ยินเช่นนั้นก็เดินร้องไห้เสียใจออกมาจากบ้านของแก้ว

ในคืนนั้นเองขวัญได้ฝันเห็นรถไม้ แม้ว่าความฝันนั้นจะไม่ชัดเจนนักแต่ขวัญก็จำภาพรถไม้ได้ดี จนตอนเช้าขวัญรีบเร่งจัดการร่างภาพรถไม้ในความฝันนั้น และมองหาเศษวัสดุเพื่อมาประกอบเป็นรถ ไม้ที่พอหาได้เป็นแผ่นไม้ที่ลอยมาตามน้ำเน่าที่สกปรก มีผู้ใหญ่บางคนเห็นความตั้งใจของขวัญ จึงเอาล้อหน้าของรถสามล้อเก่าๆของเด็กมาให้ ขวัญประกอบรถไม้เป็นรถสามล้อที่สามารถถีบได้จริง เขาตั้งใจทำจนสำเร็จ ผู้ใหญ่ต่างให้การยกย่องในความตั้งใจ เด็กคนอื่นๆที่ได้เห็นรถของขวัญต่างพากันชมว่าสวยงาม ถามไถ่ว่าไปเอามาจากไหน

ขวัญยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ขวัญถีบรถไม้ของตัวเองไปหาแก้วที่หน้าบ้าน แต่ครั้งนี้ขวัญไม่รู้สึกอิจฉาหรือน้อยใจแก้วอีก แก้วและเพื่อนๆเห็นขวัญกับรถไม้ก็อยากนั่งรถของขวัญทุกคน ขวัญให้ทุกคนลองนั่งตามสบายสุดท้ายแก้วคิดได้จึงเอารถมาแบ่งให้ขวัญได้เล่นบ้าง เด็กๆต่างแบ่งปันรถของตนเองให้แก่เพื่อน

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรามองความศักดิ์ศรีความมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ปลูกฝังลักษณะนิสัยการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น นี่ฉันมาคิดได้ตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ถ้าตอนนั้นถามว่าทำไมถึงชอบนักชอบหนากับนิทานเล่มนี้ อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นเด็กช่างจินตนาการ ชอบประดิษฐ์ และขี้สงสาร จึงเอาใจช่วยและเชียร์ขวัญแบบออกหน้าออกตา ด้วยการหยิบนิทานของขวัญมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนอนสตอป

วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันเดินเข้าไปในห้องสมุดแล้วพบหนังสือนิทานในดวงใจเล่มนี้ หัวใจฉันเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ฉันบรรจงเปิดอ่านทีละหน้า ตามท่วงทำนองกลอนแปด ตั้งแต่หน้าแรกจนจบ คิดถึงตัวเองตอนป.2 ที่ยังไร้เดียงสา ภูมิใจในตัวเองเล็กๆว่านิทานเล่มเล็กๆนี้เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่หว่านทิ้งไว้แล้วมันงอกงามแตกราก เติบโต เป็นต้นกล้า แตกกิ่งก้านสาขาจนเป็นต้นไม้ใหญ่ จนฉันเป็นอ่านจนและอาศัยร่มเงาดอกผลของการอ่านกระทั่งเป็นนักเขียนกับเขาได้ในวันนี้.. เพราะว่าการอ่านเปรียบเสมือนต้นทุนวัตถุดิบชั้นดีของการเขียน ฉันเขียนได้เพราะฉันอ่าน และเพราะฉันอ่านหนังสือดีๆฉันจึงเขียนงานดีๆได้ ขอบคุณเพื่อนในวัยเยาว์ ผู้ปลุกปั้นความฝันและแรงบันดาลใจให้ฉัน มีนิสัยเช่นเด็กชายขวัญในนิทาน จนถึงวันนี้

ปล. เรื่องรถไม้ของขวัญ ผู้แต่ง อิทธิพล วาทะวัฒนะ เป็นหนังสือที่ชนะการประกวด 2 รางวัล ในประเภทบันเทิงคดีและสวยงาม จัดอยู่ในหมวดหมู่หนังสืออ่านเพิ่มเติมสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

Share Button

มือของผู้รับ..ไม่ได้อยู่ต่ำสุด..เสมอไป

มือของผู้รับ..ไม่ได้อยู่ต่ำสุด..เสมอไป

ก่อนฤดูฝนจะลาขาด พายุกรรโชกไม่รู้ที่มาที่ไป โหมลมจนปลายยอดต้นมะพร้าวไหว
แรงลมหอบหลังคาสังกะสีของบ้านให้ปลิดปลิวลอยไปตามลม ..
หนำซ้ำมันยังพัดพาตับหญ้าคานับสิบ ลอยหายไปต่อหน้าต่อตา
ชีวิตเมื่อยามปลายฝนต้นหนาว..ใครบางคนปรามาส
“ยังไม่ทันเอาชีวิตรอด ก็คิดช่วยเหลือคนอื่น มึงมันเตี้ยอุ้มค่อม”

เขารู้ดี..ยิ่งกว่าใครๆ..ชีวิตต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ จะเอาปัญญาที่ไหนไปช่วยใครได้
เขาว่า..หากชีวิตค่อมๆที่รอการช่วยเหลือ ยื่นมือมา ไยมนุษย์ทุกข์ยากด้วยกันจะไม่เหลียวแล
แค่ค่อมหากยังพอยืนได้.. “ผมจะอุ้ม” เขาพูดแน่นหนัก

สำหรับตัวเขาเอง หลังได้รับการช่วยเหลือจากโครงการอาสามาเยี่ยม บ้านที่เคยว่างเปล่า
เริ่มมีข้าวของเครื่องใช้ ตู้เย็น ที่นอนหมอนมุ้ง ข้าวสาร และนมสำหรับเด็กๆ
และที่สุดของความปรารถนา “เห็ดนางฟ้าภูฎาน” คือคำตอบสุดท้ายของโจทย์ที่มีชื่อว่าความยากจน

ชีวิตก็เหมือนฤดูกาล ยังไม่ทันได้ดื่มด่ำความฉุ่มชื่นของสายฝน ลมแล้งในฤดูหนาวก็ก้าวเข้ามาเตือนสติ
เขาตั้งใจถักหญ้าคาทีละเส้น หวังจะส่งต่อให้เพื่อนผู้ห่างไกลได้ใช้มันมุงเป็นหลังคาคุ้มแดดฝน
เขาอาจจะต้องเริ่มใหม่ เกี่ยวหญ้า นำมาตากแดด แล้วร้อยมันเข้ากับไม้ทีละเส้น จนกว่าจะเสร็จ

เพื่อนในยามทุกข์ยากคือยาอันวิเศษสุด..มันแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้ง..
เหมือนใครคนหนึ่งอาสามาปลดแอกบนหลังที่กำลังเมื่อยล้า
เสร็จเมื่อไหร่ไม่สำคัญ ..ความหมายของการได้รู้สึกเป็นผู้ให้..มันยิ่งใหญ่แต่เจียมเนื้อเจียมตัวนัก
คนพิการอย่างเขา เดินยังลำบาก ปากท้องยังอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ลูกเมียยังมอมแมมยากเข็ญ
มีเพียงสองมือและหนึ่งสมอง.. ทันทีที่พอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
เขารีบหยิบยื่นให้ผู้อื่นในทันที

“ขอให้เห็นว่าพรุ่งนี้ยังพอมีกินมีใช้” ไม่ต้องรอให้ร่ำรวยอะไร
เพราะความจนมันเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ไปตลอดชีวิต
ช่วยทั้งที่ยังจน..ทำอะไรได้ก็ทำ..ใช้แรงงานหยิบยื่นแบ่งปันกัน
พรุ่งนี้..หากบ้านอีกหลังมีหลังคาครบครัน บ้านเราค่อยถึงเวลาซ่อมแซม..

Share Button

วัน “เด็กเท่ากัน” วันเด็กกลางดอย ณ กระจกเงา เชียงราย

วัน “เด็กเท่ากัน” วันเด็กกลางดอย ณ กระจกเงา เชียงราย

ทันทีที่ลูกโป่งสีเหลืองสดใสกำลังร่วงลงกระทบพื้นดิน
เด็กชายวิ่งเอามือไปรองรับแล้วช้อนให้ลูกโป่งลอยขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง
พลางวิ่งวนหัวเราะร่า รอให้ลูกโป่งที่กำลังกระทบกับแสงแดดยามสายค่อยตกลงมาอีกครั้ง

ของเล่นชิ้นใหม่ในชีวิต ..ลูกโป่งของเล่นราคาสูงที่หาไม่ได้ง่ายในหมู่บ้าน
เขากอดลูกโป่งไว้แน่นราวของรักของหวง รถไฟจำลองคันเล็กในมือ
ที่ต้องก้มดูบ่อยครั้ง..ด้วยกลัวหล่นหาย

วันนี้มีเด็กกว่า 2,500 คนกำลังตื่นเต้นกับของขวัญในวันสำหรับเด็ก
เด็กชายตื่นเต้นนอนไม่หลับ รีบลุกจากที่นอนจูงมือแม่และน้อง
มาเข้าแถวลงทะเบียนตั้งแต่ตีห้าดวงอาทิตย์ยังไม่ออกทำงาน

ของเล่นกว่า 2,000 ชิ้นถูกรวบรวมมาจากทั่วประเทศ
ตุ๊กตา หนังสือนิทาน รถของเล่น อุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน และสีหลากหลายประเภท
ถูกจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามหมายเลขไว้อย่างเป็นระเบียบ
ด้วยฝีมือของอาสาสมัครทั้งไทยและต่างชาติ
การเตรียมงานวันเด็กของมูลนิธิกระจกเงา จังหวัดเชียงราย
ต้องอาศัยระยะเวลาในการเตรียมงานอย่างน้อยสองเดือน
เพราะเรารู้ดีกว่า เด็กตั้งตาคอยวันนี้ อย่างใจจดใจจ่อแค่ไหน

เป็นพิเศษสำหรับปีนี้ไม่ใช่เพียงการระดมของเล่น
แต่ยังได้เห็นนำ้ใจของผู้คนที่หลั่งไหลกันช่วยบริจาคเงิน
เพื่อจัดเตรียมอาหารกลางวันสำหรับเด็กๆทุกคน
ไม่ใช่เพียงอิ่มใจแต่ต้องอิ่มท้องกลับบ้านอย่่างมีความสุขด้วย

ด้วยเชื่อว่าเด็กทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าเขาจะเกิดที่ไหน เป็นใครและมีสัญชาติหรือไม่
เกือบทั้งหมดเป็นเด็กชาติพันธุ์ชนเผ่าที่เกิดและอาศัยอยู่ตามดอยภูเขาสูงสลับซับซ้อน

บางคนเดินทางล่วงหน้าสองสามวันกว่าจะมาถึงพื้นที่จัดงานวันเด็กในตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงราย
ของขวัญ ของเล่นบางชิ้น เป็นของเล่นชิ้นแรกในชีวิตของเด็กหลายคนที่นี่

สำหรับที่นี่วันเด็กไม่ได้มีเพียงเด็กที่มีความสุขสนุกสนานไปกับกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น
พ่อแม่เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัสหรือรู้จักวันเด็กก็เช่นกัน
วันเด็กจึงถือเป็นวันพิเศษที่ทำให้ครอบครัวได้มีโอกาสอยู่ร่วมกัน
ภายในงานมีการแสดงร่ายรำที่แสดงถึงวัฒนธรรมอันสวยงาม
ที่สื่อถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ไม่เพียงแค่เด็กไทยที่จะได้มีโอกาสในวันเด็ก
แต่เด็กเมื่อวันวานและเด็กในปัจจุบันทุกคนมีสิทธิรับความสุขของวันเด็กเท่ากันอย่างเท่าเทียม

Share Button

ขอขอบคุณ “ของขวัญ” ล้ำค่าที่มีชื่อว่า “ของบริจาค” จากใจ


ขอขอบคุณ “ของขวัญ” ล้ำค่าที่มีชื่อว่า “ของบริจาค” จากใจ

ตลอดปีที่ผ่านมา โครงการแบ่งปัน ได้รับของบริจาคจำนวนมากมายจากผู้คนที่สารทิศ
เช่นกันตลอดทั้งปี เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครรวมทั้งนักศึกษาฝึกงาน ช่วยกันคัด แยก ของเพื่อจัดสรร
ไปสู่ทุกของบริจาตไปยังโครงการต่างๆของทางมูลนิธิ

“หนังสือทั้งเก่าและใหม่” ถูกส่งต่อไปยังโครงการอ่านสร้างชาติ เพื่อห้องสมุดในพื้นที่ห่างไกลได้มีหนังสือดีๆให้เด็กได้อ่านและเรียนรู้

“เครื่องใช้ไฟฟ้ามือสอง ผ้าห่ม ที่นอน หมอน มุ้ง ข้าวของสาธารณูปโภคต่างๆ” ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในบ้านที่ขาดแคลน ในโครงการอาสามาเยี่ยม เพื่อผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

“ของเล่นเสริมพัฒนาการ ตุ๊กตา เสื้อผ้าสำหรับเด็ก” ถูกกระจายไปยังโครงการโรงพยาบาลมีสุข โครงการอาสามาเยี่ยมและโรงเรียนไร่ส้ม โรงเรียนสำหรับเด็กไร้สัญชาติจังหวัดเชียงราย

“ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้ามือสองที่ยังมีสภาพดี” ถูกคัดแยกเข้าโครงการแบ่งปัน เพื่อพ่อค้าแม่ขายรายเล็กๆได้นำไปขายเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว

“คอมพิวเตอร์ แทปเลต โทรศัพท์มือถือมือสอง” ถูกนำมาซ่อมให้เป็นของใหม่ ในโครงการคอมเพื่อน้อง เพื่อกระจายความเจริญทางเทคโนโลยีไปยังเด็กๆที่อยู่ห่างไกล ในราคาย่อมเยาว์

ของบริจาคของทุกท่านจึงไม่ใช่เพียงของบริจาค แต่มันคือของขวัญสำหรับคนที่ต้องการและรอคอย
ปีใหม่ปีนี้ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ผงซักฟอก เสื้อผ้า และยารักษาโรคบางส่วน ถูกนำบรรจุลงกล่องห่อเป็นของขวัญสวยงาม เตรียมไว้สำหรับให้คนไร้บ้านได้ร่วมสนุกจับฉลาก เนื่องในเทศกาลปีใหม่เป็นครั้งแรก!!

เช่นเดียวกัน ของเล่น ของขวัญมือหนึ่ง หนึ่งพันชิ้นสำหรับเด็กป่วย ถูกนำไปกระจายต่อเพื่อใช้ในกิจกรรมเทศกาลปีใหม่และวันเด็ก เพื่อให้เด็กป่วยได้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลแห่งความสุขนี้ เฉกเช่นพวกเราทุกคน กว่า 8 โรงพยาบาลเด็กป่วยกว่า 200 คนได้รับของขวัญส่งถึงมือและถึงเตียง นำความสุขสนุกสนานกระจายไปทั่ววอร์ด

ซึ่งนอกจาก เด็กป่วยที่ได้รับของขวัญแล้ว ยังมีมีเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกล เด็กในชุมชนแออัด มูลนิธิดวงประทีป เด็กถูกขายแรงงานในไร่ส้ม อำเภอ ฝาง จังหวัด เชียงใหม่ และเด็กในชุมชนต่างๆอีกด้วย

ตลอดปีที่ผ่านมารอยยิ้มไม่เคยจางหาย ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ
เพราะในทุกการบริจาค ผู้รับ รับรู้ถึงความตั้งใจและน้ำใจของผู้ให้ทุกคนด้วยความซาบซึ้ง
และขอขอบคุณทุกท่าน ด้วยการดูแลรักษาของทุกชิ้นที่ได้รับมาเป็นอย่างดีด้วยความเต็มใจ

Share Button

โรคภัยไม่อาจขวางกั้น..สร้างความสุขให้ในทุกเทศกาลเพื่อเด็กป่วย

โรคภัยไม่อาจขวางกั้น..สร้างความสุขให้ในทุกเทศกาลเพื่อเด็กป่วย

เป็นปีที่ 12 แล้วที่โครงการโรงพยาบาลมีสุข จัดกิจกรรมปีใหม่และวันเด็กสำหรับเด็กป่วยขึ้นใน 8 โรงพยาบาลผ่านการระดมของขวัญ ของเล่น ตุ๊กตา อุปกรณ์เครื่องเขียน นมกล่องและของเล่นเสริมทักษะพัฒนาการต่างๆ สำหรับเด็กในทุกวัยที่มารักษาตัวในโรงพยาบาล

ในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ทางมูลนิธิกระจกเงาจะเปิดขอรับของบริจาคมือหนึ่ง
เพื่อเตรียมให้กับเด็กป่วยกว่าหนึ่งพันชิ้น ทำไมต้องจึงเปิดรับเฉพาะของมือหนึ่งเท่านั้น
เพราะเด็กป่วยบางคนแพ้ไรฝุ่น บ้างภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงเท่ากับพวกเรา ของเล่นทุกชิ้น จึงได้รับการคัดสรรเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเด็กป่วยทุกๆคน

และเทศกาลปีใหม่ถือเป็นเทศกาลที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความสุข เราเชื่อว่าเด็กป่วยทุกคนควรได้รับสิทธิร่วมสนุกและมีความสุขในเทศกาลนี้เช่นกัน แม้ว่าบางคนจะนอนป่วยรักษาตัวอยู่บนเตียง เคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้ หรือบางคนกำลังเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลผ่าตัด หรือเพิ่งผ่านการคีโมเพื่อรักษาโรคร้ายให้บรรเทา

ของขวัญชิ้นเล็กๆชิ้นน้อยจะถูกทยอยไปถึงเตียง ให้มือน้อยๆได้จับฉลากและได้มีโอกาสลุ้นกับของขวัญที่ถูกหีบห่ออย่างสวยงามตรงหน้า รอยยิ้มเล็กๆจะช่วยทำให้ลืมความเจ็บป่วยได้ชั่วคราว

สำหรับเด็กป่วยที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทางโครงการโรงพยาบาลมีสุข จะจำลองบรรยากาศปาร์ตี้เล็กๆให้เกิดขึ้นในห้องสันทนาการ ทุกคนจะได้ร้องเพลง จับฉลากและหัวเราะไปกับเกมส์ง่ายๆพอให้รู้สึกผ่อนคลาย พ่อแม่ผู้ปกครองก็สนุกสนานไปกับลุ้นว่าลูกหลานจะจับฉลากได้สิ่งใดกลับไปกอดไปเล่นที่เตียง

ความสุขในทุกเทศกาลแห่งความสุขของเด็กป่วยจึงไม่ใช่แค่เพียงการร้องรำทำเพลง และได้รับของขวัญเป็นของเล่นและตุ๊กตาเพียงเท่านั้น … การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในปาร์ตี้เล็กๆ กลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า ความเจ็บป่วยเป็นเพียงเรื่องราวธรรมดา ที่ไม่อาจพรากความสุขสนุกไปจากหัวใจได้

มูลนิธิกระจกเงายังเปิดรับบริจาค : ตุ๊กตา,ของเล่นเด็ก,ของเล่นเสริมทักษะ,นมกล่อง ,อุปกรณ์เครื่องเขียน (ดินสอ,สี,สมุดภาพระบายสี) เพื่อใช้จัดกิจกรรมวันเด็กที่กำลังเดินทางมาถึงในเวลาอันใกล้นี้ ของขวัญทุกชิ้นจะถูกส่งต่อไปยัง 8 โรงพยาบาล อันประกอบด้วย

1.โรงพยาบาลรามาธิบดี
2.โรงพยาบาลราชวิถี
3.โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
4.ศูนย์การแพทย์ปัญญานัทภิกขุ ชลประทาน
5.สถาบันสุขภาพแห่งชาติมหาราชินี
6.โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
7.โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
8.โรงพยาบาลตำรวจ

#ที่อยู่ในการจัดส่ง
โครงการโรงพยาบาลมีสุข มูลนิธิกระจกเงา
เลขที่ 191 ซอยวิภาวดีรังสิต 62 (แยก 4-7)
แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. 10210

สอบถามเพิ่มเติม : คุณมินนี่ 085-1966102

Share Button

เด็กในวันนี้ คืออนาคตของวันข้างหน้า

เด็กในวันนี้ คืออนาคตของวันข้างหน้า

“เด็กเยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ” คือคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2562 โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากคำขวัญดังกล่าวทำให้เห็นว่า การสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนประกอบสร้างตัวตนใหม่เพื่อเป็นคนมี “จิตอาสา” นั้นสามารถทำให้เด็กและเยาวชนมีพื้นที่ในการแสดงออกและสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติได้อย่างแท้จริง

“กระบวนการจิตอาสา สร้างเยาวชนที่พัฒนาชาติได้อย่างไร”.. การปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจอันเป็นอาสาเท่ากับการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้แก่หัวใจอันไร้เดียงสา แม้ว่าปัจจุบันหลักสูตรการเรียนการสอนจะบรรจุ ประเด็น “จิตอาสา” เอาไว้เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และปฏิบัติจริง แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการเรียนรู้เรื่องจิตอาสาผ่านการลงมือทำจริงนั้น จะดูผิวเผินเพียงแค่ลงแรงและใช้กำลัง เช่นการเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้ายากจน การบริจาคทำบุญที่ทำแล้วจบเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เกิดเรียนรู้แบบเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงจากสิ่งที่ตนเองทำกับการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาหนึ่งปัญหาใดที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเข้าใจ หรือรู้สึกประหนึ่งว่าได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้อื่น เช่นนี้จึงนับไว้เพียงว่าเป็นกระบวนการที่สร้าง Sympathy ซึ่งถือเป็นเพียงการฝึกให้เด็กมีความรู้สึกสงสารเห็นใจผู้อื่น ซึ่งมักมองเห็นจากมุมมองของตัวเองเป็นหลักและสร้างคุณค่าของการเป็นผู้ให้ ที่ดูสูงและยิ่งใหญ่กว่า

สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัยกำลังเรียนรู้และสร้างแบบบุคลิกภาพก่อนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านกิจกรรมจิตอาสาที่สร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือที่เรียกว่า Empathy เพราะทำงานจิตอาสาในรูปแบบที่ต้องเสียสละตนเองและทำประโยชน์ให้สังคม จึงถือเป็นกระบวนการที่ดีงามที่สุด โดยการให้เขาได้มีโอกาสลงมือทำจริง เห็นและเรียนรู้ผู้คนที่มีความแตกต่าง ในแง่ของความเป็นจริง ให้เขาได้สัมผัส คลุกคลีกับปัญหาเพื่อเรียนรู้ว่าโลกใบนี้มีความแตกต่าง สูง ต่ำ ดำ ขาว มีคนรวย คนจน คนเห็นแก่ตัว มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ปะปนอยู่ในชุมชนสังคม เมื่อเขาเรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงที่ทั้งสวยงามและโหดร้ายแล้ว เขาจะสามารถเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งได้ เพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาวัยรุ่น ด้วยเชื่อว่ากิจกรรมจิตอาสาจะช่วยสร้าง empathy หรือความเห็นอกเห็นใจให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน

“Empathy” มีเอกลักษณ์ในคุณสมบัติที่เป็นของตัวเองอยู่สี่อย่าง อย่างที่หนึ่งคือการเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา (perspective-taking) ซึ่งทัศนคติของคนอื่นตัวนี้ตัวเราเองอาจจะไม่เห็นด้วย หรืออาจจะไม่เข้าใจเลยก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นเราอาจจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพื่อนสนิทของเรายังคบกับคนที่ทำให้เขาต้องมาร้องไห้กับเราถึงขนาดนี้ เเต่ perspective-taking คือการเข้าใจว่าในสิ่งที่เราไม่เข้าใจนั้นมันอาจจะเป็นความจริง (truth) สำหรับคนอื่นๆก็ได้

อย่างที่สอง คือการไม่ตัดสินใจความผิดถูกชั่วดีในสิ่งที่คนอื่นนำมาเล่าให้เราฟัง (หรือ staying out of judgment) อย่างที่สามเเละสี่ คือการอ่านความรู้สึกของคนอื่นเป็นเเละการสื่อสารให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างที่เขากำลังรู้สึกอยู่

เพราะฉะนั้นการปลูกจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนรู้จักมีจิตอาสาเพื่อสาธารณะจึงไม่ใช่แค่เพียงการลงมือทำกิจกรรมต่างๆ โดยปราศจากการมีส่วนร่วม สิ่งสำคัญในการสร้างการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะชีวิตคือการให้เด็กและเยาวชนได้ร่วมเรียนรู้ ร่วมคิด ร่วมสร้างรูปแบบกิจกรรมอาสาผ่านการรู้ เห็น สัมผัสและปฏิบัติตามความเป็นจริง เพื่อพัฒนาคุณภาพทางด้านกายและใจ ให้เขาเติบโตเป็นพลเมืองที่มีจิตสาธารณะของชาติ เป็นพลเมืองที่รู้ร้อนรู้หนาว และรับรู้ถึงปัญหาที่ซับซ้อนผ่านการคิดวิเคราะห์รอบด้านผ่านสองตาและสองมือที่กระทำจริง โดยไม่ตัดสิน วัดค่าและตีตรา ด้วยจิตใจของการเคารพในสิทธิและศักศรีดิ์ความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นด้วยความจริงใจ

Share Button