ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกวันนั้นว่าอะไร วันที่รู้ว่ามูลนิธิกระจกเงา ตามหาครอบครัวผมเจอแล้ว

ในชีวิตไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นมาก่อน ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนั้นในชีวิต บอกไม่ถูกเลย แต่ยังจำความรู้สึกได้ดี
“หลังวางสาย ผมเก็บเสื้อผ้า นั่งรถตู้เข้ากรุงเทพฯทันที ระหว่างทางนั่งคิดตลอด ว่าพ่อจะจำผมได้มั้ย เขาจะรู้สึกคิดถึงผมบ้างมั้ย จะรู้สึกแบบที่ผมกำลังรู้สึกมั้ย มันคิดและกังวลไปหมดเลย ตื่นเต้นมาก มาถึงสถานีตำรวจ (กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี) ตำรวจจะให้ไปพักที่โรงแรม ผมขอนอนที่สถานีตำรวจเลย กลัวไม่ได้เจอพ่อ(ยิ้ม)
“วินาทีแรกที่ผมเจอพ่อ ผมจำพ่อไม่ได้เลย พ่อดูแก่ลงไปมาก ผมเข้าไปกอดเขา ร้องไห้เลยตอนนั้น บอกพ่อว่า ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจหนีออกจากบ้าน ผมไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ และไม่คิดว่า การที่ผมไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนวันนั้น มันจะทำให้ผมหายออกจากบ้านไปนานถึง 15 ปี
“ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แค่ 6-7 ขวบเอง ประสาเด็กก็ไปนั่งรถเมล์เล่นกับเพื่อน ก็ตามเพื่อนไปเรื่อย มันสนุก ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจไปหมด แล้วมันอยู่ได้ มีเพื่อนมีของกิน มีเงิน ผมกับเพื่อนเดินไปไหน คนเขาก็สงสาร เอาข้าว เอาขนมมาให้กิน บางคนให้เงินด้วย ก็สนุกเลยตอนนั้น มีเงินเล่นเกมส์ตามร้านด้วย เลยใช้คอมพิวเตอร์เป็น ใจมันยังสนุก ไม่คิดอยากกลับบ้านแล้ว กลัวว่ากลับแล้วจะถูกตี ถูกด่า มันเลยเลยตามเลย ใช้ชีวิตแบบเด็กเร่ร่อนเต็มตัว
“พอผมเริ่มเป็นวัยรุ่น มันเริ่มไม่น่าสงสารแล้ว โตแล้ว คนไม่ค่อยให้ข้าวให้เงิน มันไม่สนุกแล้วชีวิตจริง เริ่มรู้สึกอยากกลับบ้าน ผมตัดสินใจเดินไปบนโรงพัก บอกตำรวจว่าผมหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่ตอนเด็ก ผมจำครอบครัวไม่ได้ ชื่อตัวเองยังจำได้แค่ชื่อเล่น ตำรวจบอกให้ผมนั่งรอ แล้วไม่มีใครมาคุยกับผมเลย ผมนั่งรอทั้งวัน เหมือนไม่มีใครสนใจผม
“ผมไปโรงพัก 2-3 ครั้ง เพื่อบอกตำรวจว่า ผมเป็นเด็กหายนะ ผมอยากกลับบ้าน เขาก็ว่าผมสร้างเรื่องโกหก มันยากมากๆเลยนะ ถ้าเราเจอเรื่องอะไรแบบนี้แล้วไปขอให้คนช่วย มันไม่มีใครเชื่อเรา จนผมท้อและใช้ชีวิตเร่ร่อนต่อไป
“จนผมไปทำงานเป็นกรรมกรแบกของที่หัวหิน ตอนนั้นเริ่มป่วย นอนซมไปทำงานไม่ไหว จะลุกเดินยังไม่มีแรงเลย ผมนอนน้ำตาไหลคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว แบบเฮ้ย “เราจะตายแล้วเหรอ” เหมือนเราจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ความทรงจำตอนเด็กๆ มันย้อนกลับมานะ มันผุดขึ้นมา ตอนนี้เราจะตายไปคนเดียว ตัวคนเดียวจริงๆเหรอ มันกลัวนะ กลัวกระทั่งว่า ถ้าผมตายไปแล้ว ผมจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนมั้ย เพราะชีวิตผมไม่มีใครเลย ไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร
“สุดท้ายนายจ้างพาผมไปโรงพยาบาล มีพี่พยาบาลเขามาถามผมว่า เป็นคนไทยมั้ย ทำไมไม่มีบัตร ไม่มีชื่อนามสกุล ผมก็เล่าความจริงให้พี่เขาฟัง ว่าหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็กๆผมจำได้แต่ชื่อเล่นตัวเองว่าอั้ม บ้านอยู่ริมทางรถไฟ พ่อชื่อบุญธรรม ผมจำได้แค่นี้จริงๆ ผมไม่มีสิทธิรักษาพยาบาล ต้องจ่ายเงินเอง เพราะผมไม่มีบัตรประชาชน ผมท้อแท้มาก พี่เขาบอกว่า เคยได้ยินชื่อ มูลนิธิกระจกเงา มั้ย เขาตามหาคนหายนะ ผมเลยจำชื่อมูลนิธิกระจกเงา ไว้ตลอดเลย
“ผมอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ผมใช้คอมพิวเตอร์เป็นเพราะเล่นเกมส์ ผมก็เข้าไปใน google พูดคำว่า “มูลนิธิกระจเงา” “เด็กหาย” มันก็ขึ้นเพจ ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา มา ผมก็ไปไล่ดูภาพเด็กหายในเพจ ดูว่ามีภาพผมมั้ย ครอบครัวผมมาแจ้งตามหาผมไว้บ้างมั้ย
“ไม่มีภาพผมเลย แต่ภาพคนหายมันเยอะมากๆ เลยตัดสินใจ พูดใส่ google ให้แปลเสียงเป็นตัวอักษร ส่งไปในอินบ๊อกของเพจ พี่เจ้าหน้าที่เขาตอบกลับมาเป็นตัวอักษร ผมก็อ่านไม่ออก แต่ก๊อปปี้ข้อความไปให้ google แปลเป็นเสียง ฟังว่าพี่เขาพิมพ์มาว่าอะไร จนได้คุยโทรศัพท์กับพี่ทีมงาน เขาบอกว่า จะมาหาผมที่หัวหิน
“ตอนพี่มูลนิธิกระจกเงา เขามาหาผมที่หัวหิน ผมกลัวนะ ผมคิดว่าคำว่า “เจ้าหน้าที่” เขาคือตำรวจจะมาจับผมหรือเปล่า ที่ผมไม่มีบัตรประชาชน เขามาถามรายละเอียดต่างๆ ให้ผมเล่าให้ฟัง ให้ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก ความทรงจำที่พอจำได้ สุดท้ายผมก็ฝากความหวังไว้ที่พี่เขา เกือบเดือนนึงได้ พี่เขาโทรมาบอกผมว่า “เจอพ่อผมแล้ว”
“ผมไม่เคยนับวันเวลาเลยนะ ว่าผมหายออกจากบ้านมาสิบห้าปี มันเหมือนเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไปไวมาก ตอนนั้นเหมือนเราเป็นเด็ก ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน บางวันนอนหน้า 7-11 บางวันนอนตรงเกาะกลางถนนที่มีพุ่มไม้ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองรอดมาได้ยังไงจนถึงวันนี้นะ เพื่อนที่ออกจากบ้านมาด้วยกันก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ข้างนอกมันอันตรายมากนะ มีทั้งพวกที่จะมาไถเอาเงิน บางคนแต่งตัวดีมาชวนผมกับเพื่อนไปทำงาน ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยเจอเพื่อนคนนั้นอีกเลย ไม่รู้เขาหายไปไหน โลกภายนอกมันอันตรายมาก
“ตอนนี้ผมทำงานในโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อน้อง ของมูลนิธิกระจกเงา รู้สึกดีใจและภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ผมทำหน้าที่ไปรับคอมพิวเตอร์บริจาค แล้วเอามาซ่อม ส่งไปตามโรงเรียนต่างๆ เราซ่อมไปให้เด็กๆได้ใช้ ทำให้ผมคิดถึงตอนเด็กๆเลยนะ เราอยากได้ อยากเล่น แต่ไม่มีโอกาส วันนี้ผมเป็นส่วนหนึ่งให้เด็กๆได้มีโอกาสนั้น
“เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ที่ผมพยายามหาทางกลับบ้าน มันเปลี่ยนอนาคตเลย จากคนที่ไม่มีอะไร ไม่รู้แม้ตัวตนของตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆ ถ้าเรายังอยู่ที่เดิมกับชีวิตที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ก็คงไม่เห็นคุณค่าของตัวเองในวันนี้
ตอนนี้รู้จักคำว่าอนาคต มองเห็น วางแผนสิ่งที่จะต้องทำ สมัยอยู่คนเดียวไม่ต้องคิดอะไร แต่ตอนนี้ผมอยู่กับครอบครัว ก็ต้องคิด ต้องวางแผน ตอนนี้ผมดูแลพ่อ ช่วยส่งเสียน้องสาวเรียน แบ่งเบาภาระของที่บ้าน ครอบครัวผมบอกว่า อุ่นใจขึ้นมากที่ผมกลับมาบ้าน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้วกับคำว่าครอบครัว”
น้องอั้ม
อดีตเด็กหายจากบ้านนาน 15 ปี
และผู้ใช้ Google ตามหาครอบครัวตัวเอง
บทสัมภาษณ์ในวาระครบ3ปีภายหลังกลับบ้าน
ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
พฤษภาคม 2563
สนับสนุนภารกิจติดตามคนหาย
ชื่อบัญชี โครงการศูนย์ข้อมูลคนหาย โดยมูลนิธิกระจกเงา
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขบัญชี 202-258288-6
Share Button