“เวลาในขวดแก้ว”

..การอ่าน..ทำให้ฉันรู้จักกับตัวเอง..ไม่มากก็น้อยมันทำให้ฉันรู้จักชีวิต..

 

ชีวิตในวัยมัธยมปลายของฉันแตกต่างจากตัวละครในหนังเรื่อง “เวลาในขวดแก้ว” อย่างสิ้นเชิง จะมีที่ละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่บ้างก็ตรงเรื่องปัญหาครอบครัวที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน โชคดีที่ฉันมีเพื่อนในวัยมัธยมมากมายทั้งหญิงและชาย ความหว้าเหว่ภายในใจจึงถูกเติมเต็มด้วยเพื่อนๆ ในทุกวันทุกวินาทีของการเติบโต เป็นสามปีสุดท้าย ม. 4- ม. 6 ที่มากไปด้วยเรื่องราวความประทับใจที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยจางหายไปไหนและเพื่อนที่ผ่านคืนวันสุขทุกข์มาด้วยกัน ทั้งเรื่องครอบครัว การเรียนและความสัมพันธ์ ทุกวันนี้ก็ได้แต่นั่งหัวเราะ เอ็นดูตัวเองเมื่อวันวานด้วยกันครบเหมือนวันเก่าๆ

 

ฉันอ่านนวนิยายเรื่องเวลาในขวดแก้ว ตอนกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ถึงแม้ว่าช่วงวัยจะห่างออกไปแต่ก็พอเข้าใจทุกชีวิตทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือ นัต คือตัวละครหลักในเรื่อง ผู้เขียนเล่าถึงนัตในมิติของความเป็นลูกชาย พี่ชาย เพื่อนชาย และคนรักกับตัวละครที่เกี่ยวพันกันในแต่ละช่วง ยึดโยงเรื่องราวจากความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง พ่อแม่แยกทางกัน ปัญหารักสามเศร้า และการไม่ถูกรักถูกเลือกจากคนที่เราถูกใจ

 

ส่วนหนึ่งของนัต คล้ายคลึงกับพี่ชายของฉัน ในวันที่ครอบครัวเราแตกสลายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พี่ชายของฉันทำหน้าที่เคลียร์สถานการณ์เพื่อให้น้องสาวอย่างฉันเดินทางต่อไปในเส้นทางของตัวเองได้อย่างเข้มแข็ง ผิดก็ตรงที่ฉันไม่ได้พลาดพลั้งเหมือนกับหนิงน้องสาวของนัต ก็อย่างที่บอกไป ถึงแม้ว่าฉันจะชอบอ่านกลอน นิยาย เหมือนหนิง แต่ฉันก็ไม่ใช่สาวช่างฝันเท่าเธอ โชคดีที่ฉันมีเพื่อนชวนเล่นชวนพูดคุย และร่วมแชร์ปัญหาครอบครัวสารพันแก่กัน โลกที่เคยเศร้าหมองจึงดูไม่เดียวดาย ฉันเข้าใจหนิงมาก และเอาใจช่วยเธอเสมอ ถึงขั้นอยากให้เธอลองเปิดใจและหลุดออกจากโลกอันเปลี่ยวเหงานั้น เพราะฉันเชื่อว่าไม่ว่าจะอย่างไร เพื่อนจะเติมเต็มความว่างเปล่านั้นให้กับเรา นัตทำให้ฉันเห็นพี่ชายของตัวเองชัดเจนขึ้น เห็นว่าเขาต้องแบกความคาดหวังและจำเป็นต้องกลบเกลื่อนความเศร้าไว้มากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราทั้งคู่ก็ผ่านเรื่องราวร้ายๆอันคาดเดาไม่ได้ของผู้ใหญ่มาจนได้ .. ผ่านมาได้ในแบบของเรา นัตกับหนิงก็เช่นกัน

 

หนังสือเรื่องนี้สอนให้ฉันเข้าใจผู้ใหญ่ในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่ง หากแต่เพียงเขามีชื่อนำหน้าว่าพ่อและแม่ คุณค่าของการตีความจึงดูยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริง ซึ่งจริงๆแล้วเขาและเธอผู้เป็นพ่อและแม่ก็คือคนธรรมดาที่ร้องไห้เป็น ผิดพลาดได้ และอ่อนแอได้เท่าๆกับเรา เมื่อรู้เช่นนั้นความคาดหวังจึงไต่ระดับลดน้อยลงเหลือไว้เพียงความเข้าใจ และฉันก็จะไม่ผิดหวังอีกหากเขาทั้งคู่จะผิดพลาดซ้ำในเรื่องเดิมๆหรือเรื่องที่เกินจะคาดเดา

 

ฉันใช้เวลาในการอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่นาน ด้วยเนื้อหาของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว เพื่อน และคนรักดำเนินไปอย่างน่าติดตาม บรรยากาศของวัยวันของฉันกับตัวละครน่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ภาษา การสนทนาพูดคุย หรือแม้แต่อุดมการณ์อะไรบางอย่าง มันพอหาที่มาที่ไปในการยึดโยงเข้ากันได้เหมือนเพื่อนร่วมสมัย ฉันชอบความรู้สึกแอบรัก และมันเป็นอาการแอบรักของผู้หญิงทอมๆเช่นป้อม ซึ่งนัตเองก็แอบรักจ๋อม หญิงสาวลูกคุณหนู ซึ่งเขาและเธอก็มักมีโมเมนท์ส่วนตัวกันในรูปแบบที่ทำให้เราต้องอมยิ้ม และสงสารป้อมไปในตัว ฉากหนึ่งที่ฉันชอบมากคือ ถนนเส้นนั้นที่นัตกับจ๋อมเดินไปด้วยกันหลังเลิกเรียนไวโอลิน ร้านเพิงหมาแหงนที่มีตู้เพลง ซึ่งทั้งคู่จะเปิดเพลง Time In A Bottle ของ Jim Croce ท่ามกลางความเปลี่ยวเหงาและปัญหาความรักอันสั่นคลอนของผู้ใหญ่ มันทำให้หัวใจอันแห้งผากของนัตชุ่มชื่นและมีความหวัง ความรักมักมอบพลังอัศจรรย์แก่เราเสมอ

 

เช่นกันกับป้อมที่มักชอบพูดจาเป็นนัยๆให้นัตรับรู้ แต่ก็ดูเหมือนว่านัตเองก็เคยคิดอะไรเกินเลยกับป้อมเพราะนัตเองก็กำลังตกหลุมรักจ๋อมเข้าอย่างจัง

 

“ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก”

“สำหรับฉันรู้แต่ว่ามีคนเดียวที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต…แล้ววันหนึ่งแกจะรู้”

 

ฉันอ่านถึงตอนนี้ก็รู้สึกสงสารป้อมจับใจ มันดูเงียบเหงา และสิ้นหวัง เช่นเดิม ไม่ว่าป้อมจะพูดอย่างไรกับนัตทุกถ้อยคำไม่เคยถูกแปรความหมายให้เกินเลยไปมากกว่าเพื่อนเลยสักครั้ง และที่สำคัญป้อมเคยยื่นหนังสือ‘ปีกหัก’ ของคาลิล ยิบราน ให้นัตอ่าน แต่นัตไม่ได้อ่าน

 

ฉันแอบคิดว่าในช่วงท้ายของเรื่องราววันที่ป้อมเขียนประโยคนี้ถึงนัต ฉันอยากรู้ว่าใจของนัตคิดเช่นไร ในตอนสุดท้ายของเรื่องราว เมื่อใกล้จบ ฉันได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ 14 ตุลา, การล้อมปราบนักศึกษา, การประท้วงของคนงานในโรงงาน เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ชีวิตของทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงรวมถึงเมื่อนัตได้ล่วงรู้ความในใจของเพื่อนที่คิดมากกว่าเพื่อนมาตลอด  จนกระทั่งป้อมจากไปแล้วทิ้งไว้เพียงบทกวีที่แสนเศร้าฝากไว้ให้กับนัต

“ตะแบกบาน เธอเคยบอก

จะเก็บให้สักวัน ฉันรอคอย…ชั่วชีวิต

แต่วันนั้น…ไม่เคยมาถึง

 

เช่นกันนัตเองก็ได้เรียนรู้ความผิดหวังจากความรักเช่นเดียวกับป้อม ในวันที่จ๋อมหญิงสาวที่นัตรักมาตลอด มางานศพของป้อม นัตได้พบจ๋อม จ๋อมบอกว่าจะไปอยู่ที่อังกฤษกับพลศักดิ์แฟนจ๋อม ซึ่งจ๋อมบอกว่าได้เลิกโย่งแล้ว จ๋อมเลยจะไปอยู่กับพลศักดิ์ซึ่งจ๋อมก็มั่นใจในตัวพลศักดิ์มาก นัตเสียใจแต่ไม่กล้าพูดอะไรเพราะรู้ว่าจ๋อมคิดกับตนเองเป็นเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้น

ไม่เพียงแต่ความรักในแบบหนุ่มสาว ความรักในแบบฉบับของเพื่อนก็น่าจดจำยิ่งนัก ถึงแม้ว่าสุดท้าย นัต ป้อม เอก ชัย ต่างแบกความผิดหวังในชีวิตที่ผ่านมา แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้เรียนรู้ว่ามิตรภาพนั้นเบ่งบานและสวยงามเหมือนว่ามันไม่เคยถึงเวลาโรยรา

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดเพื่อสะท้อนให้คนอ่านได้เข้าใจถึงชีวิตที่มีทั้งวันที่สุขสมและวันที่ผิดหวัง โมงยามดีๆของชีวิตจึงไม่ได้นิยามไว้เพียงความสุข หากแต่ความทุกข์ก็เป็นเชื้อเพลิงอันดีที่ทำให้ชีวิตโชติช่วงได้เช่นกัน … และไม่ว่าจะอย่างไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วควรค่าแก่การจดจำเสมอ  และ

 

 

 

 

“ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้

สิ่งแรกที่ฉันจะทำ…..

คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์

เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ

 

“เวลาในขวดแก้ว” เป็นนวนิยายไทยของ ประภัสสร เสวิกุล มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตและปัญหาของวัยรุ่นในด้านต่างๆ ทั้งครอบครัว ความรัก การศึกษา สังคม และการเมือง จัดพิมพ์เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. 2528  

 

Share Button